ประเด็นร้อน : กองทุนผสมต่างประเทศปรับตัวขึ้น แนะถือต่อเพื่อรับผลตอบแทนระยะยาว

กองทุนผสมต่างประเทศหลายตัวกลับมาบวกอีกครั้งจากแรงหนุนหุ้นสหรัฐฯ แม้ยังมีความกังวลเศรษฐกิจถดถอยและความตึงเครียดด้านการเมืองสหรัฐฯ-จีน แต่หากถือลงทุนต่อในระยะยาวยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนดี

ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา กองทุนผสมต่างประเทศหลายกองทุน ราคามีการปรับตัวสูงขึ้น ดูได้จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน ณ 2 ส.ค. 65 ของกองทุนผสมต่างๆ เช่น กองทุน K-FITXL +5.36% กองทุน K-FITL +5.21% กองทุน K-GINCOME (ชนิดรับซื้อคืนอัตโนมัติ) +5.07% และกองทุน K-GA +4.53% สอดคล้องกับกองทุน K-USA (ชนิดสะสมมูลค่า) ที่ +16.03 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน



เหตุผลที่กองทุนผสมต่างประเทศ ปรับตัวขึ้น

หลายสินทรัพย์ มีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เช่น หุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ ที่กองทุนผสมหลายกองทุนมีการลงทุนในสัดส่วนที่สูง ดังนั้นเมื่อหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ราคากองทุนผสมนั้นจึงปรับตัวสูงขึ้นตาม เช่น


กองทุน K-FITXL และ K-FITL ที่มีการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน K-GLOBE ในสัดส่วน 36.45% และ 30.63% ตามลำดับ (ณ 30 มิ.ย. 65) โดยกองทุน K-GLOBE มีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐฯ 60.26% (ณ 30 มิ.ย. 65)

กองทุน JPMorgan Investment Funds – Global Income Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุน K-GINCOME มีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐฯ 63.7% (ณ 30 มิ.ย. 65)


สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ณ 2 ส.ค. 65 ของกองทุน K-FITL และกองทุน K-FITXL พบว่ามีผลการดำเนินที่ติดลบอยู่เล็กน้อย ส่วนกองทุน K-GINCOME (ชนิดรับซื้อคืนอัตโนมัติ) อยู่ที่ +2.04%ต่อปี และกองทุน K-GA (ชนิดจ่ายเงินปันผล) อยู่ที่ +5.29%ต่อปี โดยกองทุนผสมเหล่านี้มีการลงทุนทั้งสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ (เช่น ตราสารหนี้) และสินทรัพย์เสี่ยงสูง (เช่น หุ้น อสังหาฯ) รวมถึงมีความหลากหลายของประเภทสินทรัพย์และภูมิภาคที่ลงทุน ทำให้อาจมีความผันผวนได้ในระยะสั้น จึงเหมาะกับการลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป


นอกจากกองทุนรวมผสมแล้ว กองทุนหุ้นที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ สูง ราคาก็มีการปรับตัวขึ้นเช่นกัน เช่น K-CLIMATE ที่กองทุนหลักมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐฯ 53.10% (ณ 30 มิ.ย. 65) มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน ณ 1 ส.ค. 65 อยู่ที่ 7.96%



มุมมองการลงทุน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้มีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างสูง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยข้อมูล ณ 2 ส.ค. 65 ดัชนี Dow Jones +5.25% S&P500 +8.08% และ Nasdaq +11.97% เทียบกับ 30 มิ.ย. 65 ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากผลประกอบการไตรมาส 2 ของหลายบริษัทที่ออกมาดีกว่าที่คาด และท่าทีของ FED ที่อาจไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา รวมถึงดัชนี Euro Stoxx 50 ของยุโรป ที่ +6.65% และดัชนี Dow Jones Equity All REIT ซึ่งสะท้อนผลตอบแทนของ REIT สหรัฐฯ + 6.20% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน


อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นเหมือนช่วงเดือนที่ผ่านมาเสมอไป เนื่องจากหลายประเทศมีตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือน ก.ค. ที่ลดลง ประกอบกับเมื่อ 26 ก.ค. IMF ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตของ GDP โลก ปี 65 ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากที่ได้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิคไปแล้ว (GDP หดตัวต่อเนื่อง อย่างน้อย 2 ไตรมาส)


อีกทั้งเมื่อ 2 ส.ค. 65 ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเทียบกับวันก่อนหน้า โดยดัชนี Dow Jones -1.23% S&P500 -0.67% และ Nasdaq -0.16% (ล่าสุด 3 ส.ค. ตลาดกลับมาปรับตัวขึ้น จากผลประกอบการบริษัทที่ทยอยประกาศ)


เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวัน สร้างความไม่พอใจให้กับจีน และอาจส่งกระทบต่อสินทรัพย์การลงทุนและตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งล่าสุดจีนได้มีการแสดงท่าทีต่อประเด็นดังกล่าวโดย


• ประกาศซ้อมรบด้วยกระสุนจริงรอบไต้หวัน เป็นเวลา 3 วัน นับตั้งแต่ 3 ส.ค. โดยห้ามเรือและเครื่องบินพลเรือนเข้าพื้นที่ซ้อมรบ

• สั่งห้ามนำเข้าสินเข้าจากไต้หวัน กว่า 2,000 ชนิด จากทั้งหมด 3,200 ชนิด เช่น ปลาและอาหารทะเล น้ำมันปรุงอาหาร บิสกิตและเค้ก ส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ของไต้หวัน เช่น Ve Wong ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และ Chi Mei ผู้ผลิตอาหารแช่แข็ง



คำแนะนำการลงทุน


● สำหรับผู้ที่ถือกองทุนผสมต่างประเทศ อยู่

เช่น K-FITXL, K-FITL, K-GINCOME, K-GA แนะนำให้ถือลงทุนต่อ ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม แนะนำถือลงทุนประมาณ 3-5 ปีขึ้นไป เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว สอดคล้องกับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ของกองทุน หรือเลือกลงทุนกองทุน K-GINCOME-SSF ที่ต้องถือหน่วยลงทุน 10 ปีขึ้นไป เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ทางภาษี


● ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อยู่

เช่น K-USA, K-USXNDQ แนะนำให้ถือต่อและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่มยังไม่แนะนำให้ลงทุนตอนนี้ ควรรอประเมินสถานการณ์ก่อน โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อว่าผ่านจุดสูงสุดหรือยัง และประเด็นความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐ-จีน


● สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวน

ของตลาดหุ้น

แนะนำพักเงินในกองทุน K-CASH เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง


ดูผลการงานดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.kasikornasset.com


ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, morningstarthailand, Investing.com, THE STANDARD, Infoquest


Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP®
Back to top