ประเด็นร้อน : กลยุทธ์ยกพอร์ตให้ฟิต หลังกองทุนหุ้นต่างประเทศทยอยบวก

เปิดวาร์ปกองทุนต่างประเทศที่มีผลตอบแทนโดดเด่นสูงสุด 27% แถมมีกำไรดีน่าลงทุนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หากอยากกระจายการลงทุนในธีมที่หลากหลายประเทศต้องรู้อะไรบ้างมาดูกัน

ช่วง 1 เดือนที่ผ่าน หลายกองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวก 5%-27% (ณ 11 ส.ค. 65) โดยเฉพาะกองทุนที่มีการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐฯ-จีน


กองทุนที่กำไรโดดเด่น ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา


ข้อมูล ณ 11 ส.ค. 65 (สำหรับกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศ) และ 15 ส.ค. 65 (สำหรับกองทุนที่ลงทุนในประเทศ) จาก Morningstar Thailand พบว่ากองทุนของ KAsset ที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน บวกมากกว่า 5% มีอยู่ 60 กองทุน เช่น


• กองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ 7 กองทุน เช่น K-USA, K-USXNDQ, K-US500X, K-USA-SSF, KUSARMF ฯลฯ ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 9.16% - 27.25%

• กองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นยุโรป 4 กองทุน เช่น K-EUROPE, K-EUX, KEURMF ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 5.42% - 10.77%

• กองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานหรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 6 กองทุน เช่น K-PROPI, K-GPROP, K-GINFRA, KGIFRMF ฯลฯ ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 5.48% - 10.44%

• กองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นบางธีมหรือบางอุตสาหกรรม 5 กองทุน ได้แก่ K-CLIMATE, K-HIT, K-CHANGE-A(A), K-CHANGE-SSF, KCHANGERMF ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 7.55% - 9.47%

• กองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นโลก 2 กองทุน ได้แก่ K-GLOBE, K-WORLDX ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 5.33% - 8.29%

• กองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นอินเดีย 2 กองทุน ได้แก่ K-INDIA, K-INDX ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 7.68% - 7.75%

• กองทุนผสมที่มีการลงทุนต่างประเทศ 5 กองทุน เช่น K-GA, KGARMF, K2035RMF, K2040RMF ฯลฯ ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 6.36% - 7.32%


• กองทุนหุ้นไทย 17 กองทุน (ไม่รวม LTF และ SSFX) เช่น K-STAR, K-BANKING ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 5.02% - 5.99%


ดูผลการดำเนินงานย้อนหลังเพิ่มเติมได้ที่ www.kasikornasset.com




ทำไม? กองทุนต่างประเทศถึงปรับตัวขึ้น


หลักๆ มาจากการปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ นับตั้งแต่ 12 มิ.ย. 65 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการประชุม FED รอบ มิ.ย. ไม่กี่วัน ซึ่งรอบนั้นมีการเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งละ 0.75% ที่ถือว่าเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่สุดในรอบ 28 ปี ซึ่งโดยปกติการขึ้นดอกเบี้ยมักส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง แต่จากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED 2 ครั้งล่าสุด (มิ.ย. และ ก.ค.) ตลาดกลับตอบรับเชิงบวก หลังจากที่เคยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 64


อีกทั้งยังได้ปัจจัยบวกจากการที่บริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ หลายบริษัทประกาศผลประกอบการ Q2/65 ออกมาดี และการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เป็นตัววัดอัตราเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เดือน ก.ค. ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และต่ำกว่าเดือน มิ.ย. ด้วย ทำให้หลายคนคาดว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ FED อาจไม่จำเป็นต้องเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยมากนัก


ซึ่งการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เช่น ณ 11 ส.ค. ดัชนี S&P500 +9.15%เทียบกับ 11 ก.ค. ทำให้ตลาดหุ้นอื่นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกัน เช่น ตลาดหุ้นยุโรปที่ดัชนี Euro Stoxx 50 +8.22% และตลาดหุ้นอินเดียที่ดัชนี Nifty 50 +8.90% ในช่วงเวลาเดียวกัน



ทำไม? แต่ละกองทุนปรับตัวขึ้นไม่เท่ากัน


แต่ละกองทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น K-US500X และ K-EUX ที่เน้นลงทุนในประเทศหรือภูมิภาคที่ต่างกัน หรือมีการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ในสัดส่วนที่ต่างกัน อย่างกองทุนผสม เช่น K-GA ที่กองทุนหลักมีการลงทุนในหุ้นภูมิภาคอเมริกาเหนือ 37.33%ของมูลค่ากองทุน (ณ 29 ก.ค. 65) ทำให้เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น กองทุนนี้จึงมีการปรับตัวขึ้นเช่นกัน แต่ขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากรลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เพียงบางส่วนเท่านั้น และสินทรัพย์อื่นที่ K-GA ลงทุนอาจปรับตัวขึ้นน้อยกว่า เป็นต้น


อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แต่ละกองทุนปรับตัวแตกต่างกัน แม้ลงทุนในสินทรัพย์หรือตลาดหุ้นประเทศเดียวกัน คือ มีนโยบายหรือกลยุทธ์การลงทุนที่ต่างกัน

เช่น K-US500X และ K-USA ที่เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เหมือนกัน แต่ ณ 11 ส.ค. 65 มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ประมาณ 9.16% และ 27.17% ตามลำดับ เนื่องจาก K-US500X เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ ที่เน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง (S&P 500) ส่วน K-USA-A(A) เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก ที่เน้นสร้างผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง


อย่างไรก็ตาม กองทุนที่ลงทุนแบบเชิงรุกจะมีความผันผวนของราคาที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิงและกองทุนอื่น อีกทั้งยังอาจเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิงได้ เช่น ณ 12 ส.ค. 65 กองทุนหลักของ K-USA (US Advantage Fund) มีการปรับตัวลดลง -3.03%เทียบกับวันก่อนหน้า ทั้งที่ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวขึ้น เช่น ดัชนี Nasdaq +2.09% S&P500 +1.73% Dow Jones +1.27%เทียบกับวันก่อนหน้า หรือหากพิจารณาข้อมูลย้อนหลัง 1 ปี พบว่ากองทุนหลักของ K-USA ราคามีการปรับตัวลดลงถึง -44.74%เทียบกับ 12 ส.ค. 64 ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ติดลบน้อยกว่า เช่น ดัชนี Nasdaq -11.94% Dow Jones -4.90% S&P500 -4.05% เทียบกับ 12 ส.ค. 64



ความเคลื่อนไหวการลงทุนอื่น ที่น่าสนใจ


15 ส.ค. 65 สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย. 65 ปรับตัวลง -3.57%เทียบกับวันก่อนหน้า เกิดจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงได้รับผลกระทบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีน ยอดค้าปลีกเดือน ก.ค. ที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดและชะลอตัวลงจากเดือน มิ.ย. อีกทั้งตลาดจับตาความคืบหน้าการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ที่อิหร่านเรียกร้องให้สหรัฐฯ แสดงความยืดหยุ่นมากขึ้นในการรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าหากอิหร่านบรรลุข้อตกลงดังกล่าว อิหร่านจะกลับมาเพิ่มการส่งออกน้ำมันอย่างรวดเร็วภายในเวลา 6 เดือน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง


15 ส.ค. 65ตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวลงเล็กน้อย -0.13% ถึง -0.67% เทียบกับวันก่อนหน้า โดยจีนได้มีปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ และถอนเงินสดบางส่วนออกจากระบบธนาคาร เพื่อพยายามฟื้นฟูความต้องการสินเชื่อ และกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว จากภาคการผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกที่อ่อนแอ ในขณะที่อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นเป็นสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่งการลดดอกเบี้ยดังกล่าว สะท้อนว่าทางการจีนยังคงต้องการหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวหลังเผชิญกับการล็อกดาวน์เข้มงวด และวิกฤตภาคอสังหาฯ อีกทั้งเงินเฟ้อจีนที่ยังอยู่ในระต่ำ คาดว่าในระยะข้างหน้าทางการจีนจะยังคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายทั้งทางการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ


คำแนะนำการลงทุน


กองทุนหุ้นสหรัฐฯ


• การใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นของ FED นอกจากจะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบลดลงแล้ว ยังส่งผลต่อการปรับลดคาดการณ์ GDP และการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนด้วย อีกทั้งยังต้องจับตาดูว่าการอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดหรือยัง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED จะหยุดเงินเฟ้อได้หรือไม่ หลังจากที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ก.ค. เริ่มชะลอตัว


ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อยู่ แนะนำให้ถือต่อและประเมินสถานการณ์ ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่มยังไม่แนะนำให้ลงทุนตอนนี้


กองทุนหุ้นยุโรป


• ตัวเลขเงินเฟ้อยุโรปยังทรงตัวในระดับสูงและมีทิศทางเป็นขาขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป โดยการขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นการกดดันเศรษฐกิจยุโรปเพิ่มเติม ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่เศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในเร็วๆ นี้

• อีกทั้งปัญหาการขาดแคลนก๊าซของยุโรปยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงที่รัสเซียจะระงับการส่งก๊าซไปยังยุโรป เพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป และราคาพลังงาน

ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นยุโรปอยู่ แนะนำหาโอกาสขายคืนหรือทยอยลดสัดส่วนลง ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่มไม่แนะนำให้ลงทุน


กองทุนอื่นๆ


ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นโลก กองทุนหุ้นอินเดีย กองทุนหุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กองทุนหุ้นธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนที่เน้นหุ้นธีมต่างๆ อยู่ แนะนำให้ถือต่อและประเมินสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนที่ถืออยู่ ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่มยังไม่แนะนำให้ลงทุนตอนนี้ หรือหากต้องการลงทุนระยะสั้น ควรติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด

ผู้ที่ถือกองทุนผสมต่างประเทศ (เช่น K-GA, K-GINCOME) อยู่ แนะนำให้ถือต่อ ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม แนะนำทยอยลงทุนเพิ่มเพื่อผลตอบแทนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป เนื่องจากการกระจายการลงทุนของกองทุนผสมจะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว สอดคล้องกับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ของกองทุน

สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้หรือเป็นเงินลงทุนส่วนที่รับความเสี่ยงได้ แนะนำพิจารณาทางเลือกในการทยอยลงทุนกองทุนหุ้นจีน (เช่น K-CHX, K-CHINA, K-CCTV) กองทุนหุ้นเวียดนาม (เช่น K-VIETNAM) กองทุนหุ้นญี่ปุ่น (เช่น K-JP, K-JPX) หรือกองทุนหุ้นไทย (เช่น K-STAR, K-BANKING) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว

สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แนะนำพักเงินในกองทุน K-CASH เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง




ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, Morningstar Thailand, Infoquest


Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”