ส่วนกองทุน US Advantage Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ K-USA ปรับตัวลง -3.01% และ -3.33% เทียบกับวันก่อนหน้า ในวันที่ 18 และ 19 ส.ค. ตามลำดับ ขณะที่ 18 ส.ค. ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ ทั้ง 3 ตลาด ปิดบวกเพียงเล็กน้อย โดยดัชนี Nasdaq +0.21% S&P500 +0.23% และ Dow Jones +0.06% เทียบกับวันก่อนหน้า ซึ่งได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ส่วนวันที่ 19 ส.ค. ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ ทั้ง 3 ตลาด กลับปิดติดลบ โดยดัชนี Nasdaq -2.01% S&P500 -1.29% และ Dow Jones -0.86% เทียบกับวันก่อนหน้า จากความไม่มั่นใจเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED จาก FedWatch Tool ของ CME Group ที่บ่งชี้ว่านักลงทุนมีการให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% และ 0.75% เริ่มเข้าใกล้ 50-50 ทำให้เกิดความกังวลว่า FED อาจมีการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ในเดือน ก.ย. ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญกับภาวะถดถอย
การเปลี่ยนแปลงราคากองทุนหลักของ K-USA ณ 19 ส.ค. 65 ดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลให้ราคากองทุน K-USA ณ 19 ส.ค. 65 (คาดว่าประกาศคืนวันที่ 22 ส.ค.) เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนกองทุน K-USA ณ 18 ส.ค. (ประกาศคืนวันที่ 19 ส.ค.) ปรับตัวลง -3.01% ตามกองทุนหลัก
ทำไมกองทุน K-OIL ถึงปรับตัวเพิ่มขึ้น
กองทุน Invesco DB Oil Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ K-OIL เป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งมีนโยบายลงทุนในสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส (WTI) โดยสาเหตุที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI กลับมายืนเหนือระดับ 90 ดอลลาร์ได้อีกครั้งเนื่องจากได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและดีกว่าที่คาด ได้แก่
• ดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ +6.2 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. เป็นต้นมา และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ -5.0 จากระดับ –12.3 ในเดือนก.ค. แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกมีการขยายตัว
• ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 250,000 รายในสัปดาห์ที่ 2 ของ ส.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 265,000 ราย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังอยู่สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ที่ 215,000 ราย ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ
• ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง 7.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ 2 ของ ส.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.7 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล แสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากการที่สหภาพยุโรป (EU) แบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดน้ำมันโลกเผชิญกับภาวะอุปทานตึงตัว และเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นได้ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า รวมถึงล่าสุดรัสเซียมีการประกาศหยุดส่งก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรปเพื่อปิดท่อส่งซ่อมบำรุงเป็นเวลา 3 วัน ช่วง 31 ส.ค.- 2 ก.ย.
อย่างไรก็ตาม จากเมื่อวันศุกร์ที่ 19 ส.ค. ที่ตลาดเริ่มกังวลว่า FED อาจขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญกับภาวะถดถอยทำให้ WTI มีการปรับตัวลงเล็กน้อยในช่วงวันศุกร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมา
ทำไมกองทุน K-USA ถึงปรับตัวลดลง
ส่วนสาเหตุที่กองทุน US Advantage Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ K-USA ปรับตัวลดลง หากพิจารณาหุ้น 10 อันดับแรก ที่กองทุนหลักของ K-USA ลงทุนมากที่สุด ณ 31 ก.ค. 65 คิดเป็นสัดส่วนรวม 57.04% ของมูลค่ากองทุน พบว่า ส่วนใหญ่ราคาปรับตัวลง โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่าง

จากตารางพบว่า ณ 18 ส.ค. มีอยู่ 7 หุ้น จาก 10 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนรวม 38.04% ของมูลค่ากองทุน ที่ราคาปรับตัวลงเทียบกับวันก่อนหน้า ได้แก่
• Royalty Pharma Plc ผู้ให้บริการเภสัชกรรม
• Uber Technologies Inc ผู้ให้บริการด้านการขนส่ง
• Datadog Inc ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมอนิเตอร์และเก็บข้อมูลความมั่นคงปลอดภัย
• Roblox Corp ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเกมออนไลน์
• Veeva Systems Inc ผู้ให้บริการด้านซอฟต์แวร์เทคโนโลยีคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ทั่วโลก
• Cloudflare Inc ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ สร้างแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ให้บริการเครือข่ายหลากหลายแก่ธุรกิจ
• The Trade Desk, Inc ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาดิจิตอล
ส่วนข้อมูล ณ 19 ส.ค. ทั้ง 10 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนรวม 57.04% ของมูลค่ากองทุน ราคาปรับตัวลงเทียบกับวันก่อนหน้า โดยมีอยู่ 2 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนรวม 10.16% ของมูลค่ากองทุน ที่ราคาปรับตัวลงมากกว่า 5% เทียบกับวันก่อนหน้า ได้แก่ Roblox Corp และ Cloudflare Inc
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
• การประชุม Jackson Hole ระหว่าง 25-27 ส.ค. ซึ่งเป็นการประชุมที่จัดขึ้นทุกปี โดยมีประธานธนาคารกลางสำคัญๆ เข้าร่วมประชุม ทำให้อาจเห็นสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุน
• การประชุม FED ในวันที่ 20-21 ก.ย. (รู้ผลเช้าวันที่ 22 ก.ค. ตามเวลาประเทศไทย) ท่ามกลางความกังวลว่า FED อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้ออาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญกับภาวะถดถอย
• การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ซึ่งอาจเป็นการปูทางให้อิหร่านกลับมาส่งออกน้ำมันในตลาด และกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง
คำแนะนำการลงทุน
• ผู้ที่ถือกองทุน K-OIL อยู่ ให้พิจารณาขายคืนทั้งหมดหากมีกำไร ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม ไม่แนะนำให้ลงทุน
• ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น K-USA, K-USXNDQ, K-US500X, K-USA-SSF, KUSARMF อยู่ แนะนำให้ถือต่อและรอประเมินสถานการณ์ ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม ยังไม่แนะนำให้ลงทุนตอนนี้
• สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ แนะนำพิจารณาทางเลือกในการทยอยลงทุนในกองทุนหุ้นจีน (เช่น K-CHX, K-CHINA) หรือหากถืออยู่แนะนำถือลงทุนต่อ แต่ควรเป็นเงินที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ เนื่องจากตลาดหุ้นจีนยังคงมีความผันผวน
• สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แนะนำพักเงินในกองทุน K-CASH เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุน อีกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, RYT9.com, infoquest
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”