ประเด็นร้อน : สหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ตามคาดสกัดเงินเฟ้อ สวนทางยอดค้าปลีกจีนที่ลดลง

ประเด็นร้อน : สหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ตามคาดสกัดเงินเฟ้อ สวนทางยอดค้าปลีกจีนที่ลดลง



"


● คณะกรรมกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.5% ไปอยู่ที่ระดับ 4.25%-4.50% เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้กลับลงมาที่เป้าหมาย 2% แนะนำหาจังหวะขายหรือลดสัดส่วนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ลง


● จีนเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ทั้งหมด ทั้งตัวเลขการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร การผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีก แนะนำถือหรือลงทุนต่อในกองทุนหุ้นจีน


"


I: อัปเดตสถานการณ์สหรัฐฯ


เมื่อเช้าวันที่ 15 ธ.ค. 65 ตามเวลาประเทศไทย (วันที่ 14 ธ.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ) คณะกรรมกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.5% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดได้คาดไว้ ส่งให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 4.25%-4.50% เพื่อต้องการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้กลับลงมาที่เป้าหมาย 2% ซึ่งล่าสุดเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) เดือน พ.ย. อยู่ที่ 7.1% เทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปีก่อน

ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว


แม้ Fed (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดไว้ แต่ ณ 14 ธ.ค. ดัชนีตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ปิดตลาดในแดนลบ โดยดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง -0.76% ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง -0.61% และดัชนี Dow Jones ปรับตัวลง -0.42% ส่งผลให้กองทุนหลักของ K-USA (US Advantage Fund) ณ 14 ธ.ค. ปรับตัวลดลง -2.97% เทียบกับวันก่อนหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ราคากองทุน K-USA ณ 13 ธ.ค. ปรับตัวขึ้นแรง +6.09% เทียบกับวันก่อนหน้าจากการที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์

โดยสาเหตุที่ตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ณ 14 ธ.ค. ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากการประชุมครั้งนี้มีการเปิดเผยมุมมองอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการ (Fed Dot Plot) ว่าปี 2566 ควรปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ที่ระดับ 5.0%-5.25% ซึ่งเพิ่มจากมุมมองของคณะกรรมการที่เปิดเผยมาเมื่อการประชุมเดือน ก.ย. ที่มองว่าปี 2566 ควรปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ที่ระดับ 4.50%-4.75% นับเป็นการสะท้อนมุมมองการใช้นโยบายการเงินตึงตัวมากกว่าที่ตลาดรับรู้ไปก่อนหน้านี้ อีกทั้งนายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ระบุว่า Fed จะไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% และจะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีเพื่อลดเงินเฟ้อให้กลับสู่ระดับเป้าหมาย

นอกจากนั้นรายงานการประชุมยังเผยคาดการณ์ GDP ปี 2565 อยู่ที่ 0.5% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เมื่อการประชุมเดือน ก.ย. ซึ่งอยู่ที่ 0.2% ส่วนคาดการณ์ GDP ปี 2566 อยู่ที่ 0.5% ลดลงจากคาดการณ์เมื่อการประชุมเดือน ก.ย. ซึ่งอยู่ 1.2% ขณะที่คาดการณ์อัตราการว่างงานปี 2565 ลดลงจากการประชุมเดือน ก.ย. ซึ่งอยู่ที่ 3.8% มาที่ 3.7% ส่วนปี 2566 คาดไว้ที่ 4.6% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ในการประชุมเดือน ก.ย. ที่ 4.4%

สำหรับอัตราเงินเฟ้อ (PCE) ปี 2565 คาดไว้ที่ 5.6% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เมื่อเดือน ก.ย. ที่ 5.4% ส่วนปี 2566 คาดไว้ที่ 3.1% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เมื่อเดือน ก.ย. ที่ 2.8% ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ปี 2565 คาดไว้ที่ 4.8% เพิ่มจากคาดการณ์เมื่อเดือน ก.ย. ที่ 4.5% และปี 2566 คาดไว้ที่ 3.5% เพิ่มจากคาดการณ์เมื่อเดือน ก.ย. ที่ 3.1%


II: อัปเดตสถานการณ์จีน


เช้าวันที่ 15 ธ.ค. 65 ทางการจีนเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ทั้งหมด เนื่องจากมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง โดยตัวเลขการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) ในช่วงเดือน ม.ค.- พ.ย. ปรับตัวขึ้น 5.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือน พ.ย. ปรับตัวขึ้น 2.2% จากเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว ส่วนตัวเลขยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือน พ.ย. ลดลง 5.9% จากเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว

ในขณะที่อัตราว่างงานในเดือนพ.ย.อยู่ที่ 5.7% เพิ่มขึ้นจากระดับ 5.5% ในเดือน ต.ค. ส่วนราคาบ้านในเมืองขนาดใหญ่และขนาดกลางรวม 70 แห่งชะลอตัวลงในเดือน พ.ย.

ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว


ส่งผลให้ ณ เวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาในประเทศ ดัชนี CSI 300 ของจีน และดัชนี Hang Seng มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย เทียบกับวันก่อนหน้า โดยกองทุนหลักของ K-CHINA (กองทุน JPM China) ณ 14 ธ.ค. ราคาปรับตัวลดลง -0.88% เทียบกับวันก่อนหน้า


III: มุมมองการลงทุน


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความผันผวนในระยะสั้นถึงกลางจากผลการประชุมครั้งนี้และการให้สัมภาษณ์ของนายเจอโรม พาวเวล ที่เน้นย้ำว่าจะยังไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะเห็นสัญญาณอัตราเงินเฟ้อลดลงมาที่ระดับ 2%

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ต่ำกว่าคาดการณ์ทั้งหมด โดยเฉพาะตัวเลขยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่หดตัว ทำให้คาดว่าทางการจีนจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปีหน้า


คำแนะนำการลงทุน


ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น K-USA, K-U500X, K-USXNDQ สามารถทยอยขายบางส่วนในจังหวะที่ตลาดเด้งระยะสั้นได้เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม แต่หากเป็นการลงทุนระยะยาวและรับความผันผวนในระยะสั้นได้ แนะนำถือต่อไปได้ เนื่องจากการประเมินมูลค่าหุ้นสหรัฐฯ (Valuation) ปรับตัวลงมาใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 10 ปีแล้ว ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุน หากรับความเสี่ยงหรือความผันผวนได้น้อย ยังไม่แนะนำให้ลงทุน

ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นจีน เช่น K-CCTV, K-CHX, K-CHINA ฯลฯ แนะนำถือลงทุนต่อ ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม สามารถทยอยลงทุนเพิ่มได้ แต่ควรเป็นเงินที่สามารถลงทุนระยะยาวได้

สำหรับผู้ที่กังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แต่ยังคงรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้หรือต้องการรับผลตอบแทนระยะยาว แนะนำลงทุนกองทุนผสม เช่น กองทุน K-GINCOME-A(A) ที่มีการแบ่งสัดส่วนและกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นที่กระจุกตัวเพียงบางประเทศ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, ryt9

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH TRAINER วีรพล บางแวก
Back to top