ประเด็นร้อน: หุ้นเวียดนามบวกรับข่าวดี GDP ขยายตัวน่าถือต่อ สวนทางน้ำมันขาลงแนะขายลดความเสี่ยง

ประเด็นร้อน: หุ้นเวียดนามบวกรับข่าวดี GDP ขยายตัวน่าถือต่อ สวนทางน้ำมันขาลงแนะขายลดความเสี่ยง



"


• ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดย GDP ปี 2565 ขยายตัว มากกว่าที่คาด และความหวังการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อจากนี้ แนะนำถือหรือลงทุนต่อในกองทุนหุ้นเวียดนาม แต่ควรควบคุมสัดส่วนการลงทุนไม่เกิน 5%-10% ของเงินลงทุนในหุ้น


• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงจากความกังวลอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงในจีน แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา และการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ แนะนำให้ขายคืนทั้งหมดหากมีกำไร


"



3 ม.ค. 66 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนี VNI +3.66% และ VN30 +4.18% เทียบกับวันก่อนหน้า ส่งผลให้กองทุนหุ้นเวียดนามอย่างกองทุน K-VIETNAM ณ 3 ม.ค. 66 ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น +3.17% เทียบกับวันก่อนหน้า
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบโลกยังผันผวน โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแรง ซึ่ง ณ 3 ม.ค. 66 สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง -3.33 ดอลลาร์ หรือ -4.15% ปิดที่ 76.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคากองทุน K-OIL ณ 3 ม.ค. 66 ปรับตัวลดลง -2.80% เทียบกับวันก่อนหน้า

ต่อมา 4 ม.ค. 66 สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแรงอีกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง -4.09 ดอลลาร์ หรือ -5.32% ปิดที่ 72.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้กองทุนหลักของ K-OIL (Invesco DB Oil Fund) ณ 4 ม.ค. 66 ปรับตัวลง -3.38% เทียบกับวันก่อนหน้า และคาดว่าจะส่งผลให้ราคากองทุน K-OIL ณ 4 ม.ค. 66 ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกัน


ทำไมหุ้นเวียดนามถึงปรับตัวเพิ่มขึ้น


3 ม.ค. 66 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้น +2.68% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ +2.56% และกลุ่มค้าปลีก +2.61% เทียบกับวันก่อนหน้า หลังจากที่เวียดนามประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดย GDP ปี 2565 ขยายตัว 8.02% สูงกว่ากรอบเป้าหมายของรัฐบาลที่ 6%-6.5% เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากภาคบริการที่ขยายตัวขึ้น 10.06% คิดเป็นการเติบโต 6.44% ของ GDP โดยรวม จากการกลับมาฟื้นตัวในภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรมและโลจิสติกส์หลังคลายล็อกดาวน์ และการส่งออกเติบโตขึ้น 10.3% หรือ 1.71 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ยอดการส่งออกโทรศัพท์และส่วนประกอบโทรศัพท์ของเวียดนามเพิ่มขึ้น 3.1% ในปี 2565 โดยมีรายได้ประมาณ 5.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 15.9% ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด

นอกจากนี้ ตลาดยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจของเวียดนามจะเติบโตขึ้นต่อจากนี้ โดยมติแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมประจำปี 2566 ที่ได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติสูงสุดเวียดนาม เปิดเผยว่า เวียดนามจะพยายามบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่ 6.5% ในปี 2566


ทำไมราคาน้ำมันดิบถึงปรับตัวลดลง


ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลงเนื่องจากความกังวลอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงในจีน หลังรัฐบาลจีนประกาศเพิ่มโควตาส่งออกน้ำมันในปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์หรือความต้องการใช้น้ำมันที่อ่อนแอภายในประเทศ

ด้านผลสำรวจของไฉซิน/มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนธ.ค. 65 ของจีนลดลงสู่ระดับ 49 จากระดับ 49.4 ในเดือนพ.ย. 65 โดยดัชนี PMI อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 5 เดือน ชี้ให้เห็นว่าภาคการผลิตของจีนยังคงอยู่ในภาวะหดตัวเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ ของจีนซึ่งรวมถึงภาคการผลิตด้วย

ทั้งนี้ ตลาดน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา หลังจากที่นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้น โดยเศรษฐกิจโลกราว 1 ใน 3 จะเข้าสู่ภาวะถดถอย เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และจีนชะลอตัวลงพร้อมกัน และคาดว่ายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีนจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก

นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ โดย ณ 3 ม.ค. 66 ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินแข็งค่าพุ่งขึ้น 0.95% แตะที่ระดับ 104.5070


คำแนะนำการลงทุน


ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นเวียดนาม เช่น K-VIETNAM สามารถถือลงทุนต่อได้เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ควรควบคุมสัดส่วนการลงทุนไว้ไม่เกิน 5%-10% ของเงินลงทุนในหุ้นเนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนามเป็น frontier market ที่มีความผันผวนสูง

ผู้ที่ถือกองทุนน้ำมัน เช่น K-OIL แนะนำให้พิจารณาขายคืนทั้งหมดหากมีกำไร โดยหากพิจาณาผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี (ณ 30 ธ.ค. 65) พบว่ากองทุน K-OIL ยังคงมีผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ +9.19 % +10.34% และ +6.88% ต่อปี ตามลำดับ ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม ไม่แนะนำให้ลงทุน

สำหรับผู้ที่กังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แต่ยังคงรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้หรือต้องการรับผลตอบแทนระยะยาว แนะนำลงทุนกองทุนผสม เช่น กองทุน K-GINCOME-A(A) ที่มีการแบ่งสัดส่วนและกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นที่กระจุกตัวเพียงบางประเทศ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, Ryt9, Finnomena

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP®
Back to top