อัปเดตข่าว/สถานการณ์
เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2023 ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ด้วยคะแนนเสียง 314 ต่อ 117 เสียง โดยต่อจากนี้ร่างกฎหมายนี้จะเข้าสู่การลงมติของวุฒิสภา ก่อนจะให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามบัญญัติกฎหมาย
ร่างกฎหมายนี้ได้ยกเลิกเพดานหนี้เดิมที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ และจะไม่มีกำหนดเพดานหนี้ใหม่จนถึงเดือน ม.ค. 2025 ซึ่งเป็นช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบถัดไป ส่งผลให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ สามารถออกพันธบัตรใหม่ได้เพื่อนำไปชำระหนี้ที่กำลังจะครบกำหนด ช่วยป้องกันการผิดชำระหนี้สหรัฐฯ โดยคาดว่ากระบวนการร่างกฎหมายนี้จะเสร็จสิ้นอย่างเร็วที่สุดภายในวันที่ 5 มิ.ย.
อย่างไรก็ตามร่างกฎหมายนี้ได้มีการจำกัดงบประมาณต่างๆ ในปีหน้า (ปี 2024) ไว้เท่ากับปีนี้ (ปี 2023) ส่วนปี 2025 งบประมาณต่างๆ มีการเพิ่มขึ้นได้เพียง 1%เท่านั้น ยกเว้นงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ รวมถึงงบประมาณเกี่ยวกับพลังงานสะอาดในกฎหมาย Inflation Reduction Act และการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ ที่ไม่ถูกจำกัดเหมือนงบประมาณด้านอื่น
ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว
ตลาดและนักลงทุนได้คลายความกังวลลงนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน บรรลุข้อตกลงกับประธานสภาผู้แทนราษฎรและตัวแทนพรรค Republican เห็นได้จากระหว่างวันที่ 22 พ.ค. ถึง 1 มิ.ย. ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยที่ +0.69% ส่วนราคาพันธบัตรรัฐบาลก็มีการปรับตัวขึ้น สะท้อนได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ณ 1 มิ.ย. ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 3.601% จากวันที่ 22 พ.ค. อยู่ที่ 3.719%
มุมมองการลงทุน
• จากงบประมาณต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศ ถูกปรับลดลง ทำให้การเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก
• บริษัทกลุ่มพลังงานสะอาด ยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากนโยบายสนับสนุนพลังงานและการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศอยู่ เนื่องจากร่างกฎหมายนี้ไม่ได้มีการลดงบประมาณส่วนนี้ลง
• แม้สหรัฐฯ จะสามารถออกพันธบัตรใหม่ได้ แต่ก็ต้องออกอย่างจำกัดเท่าที่จำเป็นต้องใช้ชำระหนี้ที่ครบกำหนดเท่านั้น ส่งผลดีต่อตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ
คำแนะนำการลงทุน
•
ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ และต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนและรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3
•
สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น และชอบกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศบางส่วน แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN1 และควรถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXEDPLUS ที่ควรถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
•
สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น และไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-CBOND และควรถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXED ที่ควรถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
•
สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น และไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือกองทุน K-SFPLUS ที่เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
•Bloomberg, BBC
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”