หลายคนที่ติดตามข่าวสารการลงทุน อาจเคยเห็นข้อความ “ลงทุนหุ้นไทย 10 ปี กำไร 0% ” ตามสื่อออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา แถมบอกต่อด้วยว่าลงทุนหุ้นสหรัฐฯได้กำไร 4 เท่า จนคนอ่านอุทานในใจว่า “รู้งี้ ลงทุนไปนานแล้ว” เรื่องนี้จริงหรือไม่ วันนี้ KWEALTH มีคำตอบให้ครับ
ลงทุนตลาดหุ้นไทย 10 ปี กำไร 0% จริงหรือ?
หากอ้างอิงข้อมูลเฉพาะ SET INDEX โดยดูตัวเลขดัชนีย้อนหลัง 10 ปี (2013-2023) ในบางช่วงที่ตลาดปรับตัวลง SET INDEX 10 ปีผลตอบแทน 0% ก็เป็นประโยคที่ไม่เกินจริง บางช่วงติดลบด้วยซ้ำ (ผลตอบแทนดังกล่าวยังไม่ได้รวมผลตอบแทนจากปันผล) ขณะที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อย่าง NASDAQ 100 หากลงทุนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว กำไร 400% หรือ 4 เท่าก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเช่นกัน (ไม่รวมเงินปันผล)
เลือกลงทุนหุ้นไทยอย่างไรให้ได้กำไร
คำถามที่เราต้องตั้งต่อไปคือ แล้วใครบ้างที่ซื้อหุ้นทุกตัวใน SET Index แล้วถือมาตลอด 10 ปีบ้าง ประเด็นที่น่าสนใจคือคนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ไม่ได้ซื้อหุ้นใน SET Index ทุกตัวในตลาด มีคนที่ได้กำไรจากการเลือกลงทุนหุ้นไม่กี่ตัว เช่น ถ้าซื้อหุ้น AOT (เจ้าของสนามบินหลายแห่งในประเทศ) 10 ปีที่แล้ว วันนี้กำไรเกือบ 300% หรือ CPALL(เจ้าของร้านค้าปลีกชื่อดัง) ลงทุน10 ปี กำไรเกือบ 90% ซึ่งการลงทุนหุ้นรายตัวแล้วมีกำไรขนาดนี้ นอกจากเลือกหุ้นได้ถูกตัว แล้วยังต้องทนถือยาวไม่ปล่อยขายทำกำไรไปก่อนระหว่างทาง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ขณะที่หลายคนที่ไม่รู้จะเลือกหุ้นรายตัวอย่างไร ก็เลือกลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีนโยบายหลากหลาย ทั้งที่มีผู้จัดการกองทุนคอยเลือกหุ้นให้ คอยดูแลให้ อย่างกองทุน K-STAR-A(R) ที่ลงทุน 10 ปีได้กำไร39.64% (ข้อมูล ณ วันที่ 10 ส.ค. 66)แบบยังไม่รวมเงินที่ได้รับจากการขายคืนอัตโนมัติระหว่างทาง หรือจะลงทุน SET50 หุ้น 50 ตัวที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาด ผ่านกองทุน K-SET50 ลงทุน 10 ปี กำไร 25.09% แม้ระหว่างทางอาจเกิดการขาดทุนบ้างก็ตาม
หรือแม้แต่การเลือกลงทุนเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเด่นของไทย อย่างการท่องเที่ยวและบริการ ก็ยังสามารถทำให้เงินของนักลงทุนเติบโตได้ ถ้าดูจากกราฟจะพบว่า ถ้าลงทุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวทุกตัวผ่านไป 10 ปี จะกำไรอยู่ที่ 11.61% ถ้าลงทุนหุ้นพาณิชย์ทุกตัว กำไรจะอยู่ที่ 23.83% และถ้าลงทุนกลุ่มการแพทย์ทุกตัวจะกำไร 138.59% ซึ่งสิ่งที่เล่ามาทั้งหมด ก็สะท้อนออกมาว่าการลงทุนในหุ้นไทยก็ยังมีโอกาส แม้ระหว่างทางจะเกิดการขาดทุนบ้าง แต่ถ้าเราเลือกกองทุนที่ดี หุ้นที่ดี ให้เวลาให้กองทุน ให้หุ้นทำงาน ในระยะยาวก็มีโอกาสที่จะทำให้เงินงอกเงยได้เช่นกัน
ลงทุนในจุดเด่นของแต่ละประเทศ เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน
แต่ละประเทศมีอุตสาหกรรมที่โดดเด่นประจำชาติของตัวเอง การลงทุนในอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้เงินลงทุนของเรางอกเงยในอนาคต และในอดีตก็ได้พิสูจน์มาแล้ว จะมีอุตสาหกรรมใดบ้างลองมาดูกัน
สหรัฐฯ มีอุตสาหกรรมโดดเด่นที่คนทั้งโลกรับรู้คือ เทคโนโลยี ซึ่งมีบริษัทเทคโนโลยีมากมายในสหรัฐฯที่มีลูกค้าอยู่ทั่วโลก เช่น META เจ้าของแพลตฟอร์ม FACEBOOK หรือ ALPHABET เจ้าของเว็บไซต์ Google หรือ AMAZON เจ้าของแพลตฟอร์ม E-commerce รายใหญ่ของโลก และอีกหลายบริษัทเทคโนโลยีที่อยู่ในดัชนีหุ้นสหรัฐฯอย่าง Nasdaq 100 ซึ่งหากดูข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี จะพบว่าเติบโตประมาณ 400% หรือหากดูข้อมูลผลตอบแทนรายปี ย้อนหลัง 10 ปี ณ วันที่10 สิงหาคม 2023 จะอยู่ที่ 17.35% ต่อปี ใกล้เคียงกับผลตอบแทนรายปีของกองทุนของกสิกรไทยอย่างกองทุน K-USXNDQ-A(D) ที่อยู่ระดับ 16.21% ต่อปี
นอกจากนี้สหรัฐฯยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมที่โดดเด่น เช่น กลุ่มเกี่ยวกับสุขภาพ และการแพทย์ กลุ่มการเงิน ซึ่งหุ้นเหล่านี้ก็มักจะอยู่ติดพอร์ตหลายกองทุนที่ลงทุนในสหรัฐฯ เช่นกองทุนของกสิกรไทย ก็จะมี K-USA-A(A) และ K-USA-A(D)
จีน มีอุตสาหกรรมที่โดดเด่นอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยี เช่น Alibaba แพลตฟอร์ม E-commerce ยักษ์ใหญ่ของจีน หรือ Tencent บริษัทที่ทำแอปพลิเคชันมากมาย เช่นเกมในมือถือ หรือ Meituan เจ้าของแอปฯส่งอาหาร จองที่พัก ยักษ์ใหญ่ของจีน และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะได้รับผลกระทบจากการเข้าแทรกแซงของรัฐบาลจีน แต่ด้วยการเติบโตที่ผ่านมา และการผ่อนคลายการแทรกแซงของจีน ทำให้บริษัทเหล่านี้มีโอกาสที่จะเติบโตในอนาคตได้อีก ซึ่งหากใครสนใจลงทุนในธุรกิจเหล่านี้ สามารถลงทุนกองทุนกสิกรไทยอย่าง K-CHINA ได้
นอกจากเทคโนโลยีแล้ว จีนยังเด่นเรื่องของจำนวนประชากรที่สูงถึงหลักพันล้านคน ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับอุปโภค บริโภค บริการ การผลิต ทั้งทางตรงและทางอ้อมได้รับประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มสินค้าจำเป็น กลุ่มการเงิน การแพทย์ กลุ่มอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งหุ้นที่กองทุนชอบมีติดพอร์ตกัน เช่น กองทุนK-CCTV ก็จะมี Ping An Insurance บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน Kweichow Moutai แบรนด์สุราระดับพรีเมียมอันดับ 1 ของจีน Midea Group ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน เป็นต้น นอกจากนี้อีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรงอย่างรถยนต์ไฟฟ้าของจีน ก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตาด้วยเช่นกัน
ยุโรป ถือเป็นประเทศที่มีหลากหลายอุตสาหกรรมเด่น โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนมทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องหนัง น้ำหอม นาฬิกา สุราต่างๆ ที่หลายคนต้องรู้จัก ตัวอย่างเช่น LOUIS VUITTON, CELINE, Hennessy, BVLGARI, Christian Dior และอีกหลายแบรนด์ ธุรกิจสินค้าแบรนด์เนมเติบโตจนสามารถทำให้เจ้าของ LVMH อย่าง Bernard Arnault ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกมาแล้ว
อีกกลุ่มอุตสาหกรรมเด่นของยุโรปนั่นก็คือ Health Care ตัวอย่างเช่น NOVO NORDISK ผู้ผลิตฮอร์โมนอินซูลินครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ของโลกในแง่ของมูลค่ายารักษาโรคเบาหวาน Sanofi บริษัทผู้ผลิตวัคซีนสัญชาติฝรั่งเศส Bayer บริษัทยาและเคมีภัณฑ์สัญชาติเยอรมนี
นอกจากนี้ยังมีบริษัทเทคโนโลยีที่โดดเด่นเช่น ASML ผู้พัฒนาและผลิตเครื่องพิมพ์สำหรับสร้างชิประดับสูง SAP ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ERP ชั้นนำของโลก ซึ่งทั้งหมดที่เล่ามาสามารถลงทุนได้ ผ่านกองทุน K-EUX กองทุนที่ลงทุนตามดัชนี EURO STOXX 50 ซึ่งก็มีอุตสาหกรรมอื่นๆเพิ่มเติมอีกด้วย
ไม่รู้จะเลือกลงทุนอะไร มีตัวช่วยอะไรบ้าง
Wealth Plus เป็นอีกตัวช่วยที่ได้รับความนิยม เพราะ Wealth Plus มีผู้เชี่ยวชาญมาคอยดูแล เลือกกองทุนหลายๆกองทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และโอกาสบรรลุเป้าหมายการเงินที่ตั้งไว้ และปรับสัดส่วนการลงทุน (Rebalance) เมื่อสัดส่วนเปลี่ยนแปลงไปจากที่กำหนดไว้อย่างมีนัยสำคัญ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากนี้ยังสามารถเลือกตั้งวันตัดเงินอัตโนมัติ เพื่อลงทุนแบบ DCA ในกองทุนที่ Wealth Plus ช่วยเลือกให้เป็นประจำทุกเดือนได้อีกด้วย
K-GINCOME กองทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกกว่า 3,000 สินทรัพย์ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ไม่ต้องจัดพอร์ตเองเน้นสินทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอ เพื่อโอกาสทํากําไรและลดความผันผวนในระยะยาว