ตลาดหุ้นสหรัฐฯ รับปัจจัยหนุนไปแล้ว Fed ยังพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เหมือนจะไม่มีปัจจัยอะไรมาช่วยหนุนแล้ว ก็ปรากฎกระแส AI ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีดันขึ้นมาอีกครั้งจนถึงทุกวันนี้ที่แทบเรียกได้ว่าเต็มมูลค่าไปแล้ว
ส่วนการประชุมประจำปี 2023 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ Jackson Hole ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกต่างติดตามแนวทางการปรับอัตราดอกเบี้ยของ Fed ก็ยังได้แนวทางคล้ายเดิม คือ Fed พร้อมจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเพื่อชะลอเงินเฟ้อ หรืออาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับสูงต่อไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจที่จะออกมาใหม่ ไม่มีการส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด
ทั้งตลาดหุ้นที่รับกระแสการเติบโตไปแล้ว พร้อมแรงกดดันจากนโยบายการเงินที่อาจสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจ คำถามจึงกลายเป็นว่ายังมีโอกาสลงทุนเหลืออยู่อีกหรือไม่?
หุ้นกลุ่ม Healthcare กับเทรนด์รักสุขภาพและปัญหาสังคมผู้
สูงอายุ
ทุกวันนี้โลกที่เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายช่วยให้ทุกคนมีความรู้ด้านสุขภาพมากขึ้น ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสุขภาพ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับทั่วโลกเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สวีเดน ส่วนที่กำลังเผชิญก็มีประเทศไทยและจีน
แน่นอนว่าทั้งเทรนด์รักสุขภาพและสังคมผู้สูงอายุ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพย่อมเพิ่มขึ้น ส่งผลดีให้หุ้นกลุ่ม Healthcare ที่รายได้และกำไรสม่ำเสมอจากการเป็นปัจจัย 4 อยู่แล้วยิ่งมีความมั่นคงและโอกาสเติบโตมากขึ้น
สิ่งนี้ยืนยันง่ายมากจากผู้คนรอบตัวไม่น่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นทั้งจากการักษา ซื้อยา หรือซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ
ส่องรายได้และกำไรกลุ่ม Healthcare สม่ำเสมอ ผ่านทุกสภาวะเศรษฐกิจ
ย้อนไปช่วงวิกฤติ Subprime ระหว่างปี 2008-2009 จากดัชนี MSCI World Healthcare เห็นว่าไตรมาส 1 ปี 2008 มีรายได้ที่ 57.65 ดอลลาร์ต่อหุ้น จบไตรมาส 4 ปี 2009 รายได้เพิ่มไปที่ 67.43 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) ไตรมาส 1 ปี 2008 อยู่ที่ 6.76 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นไปที่ 7.46 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อจบไตรมาส 4 ปี 2009
อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit) เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่บ่งชี้ความแข็งแกร่งของบริษัท ข้อมูลระหว่างปี 2008-2022 แม้อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงจากระดับประมาณ 40% มาที่ 35-37% ซึ่งอาจเกิดจากต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น แต่อัตรากำไรสุทธิยังรักษาไว้ที่ 11-12% อย่างสม่ำเสมอ แสดงว่ากลุ่ม Healthcare มีความสามารถจัดการต้นทุนบริหารงานเป็นอย่างดี
ทั้งจากการเผชิญวิกฤติระดับโลกเมื่อปี 2008 และข้อมูลอัตราการทำกำไรชี้ชัดว่าบริษัทกลุ่ม Healthcare มีความแข็งแกร่งทนทานได้ทุกสภาวะเศรษฐกิจ
K-GHEALTH กองทุน Healthcare ทั่วโลก ผสมผสานบริษัทยาดั้งเดิมกับนวัตกรรมสายสุขภาพ
กองทุน K-GHEALTH ลงทุนในกองทุน JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund, Class A ลงทุนหุ้นกลุ่ม Healthcare ทั่วโลกซึ่งครอบคลุมกลุ่ม pharmaceutical, biotechnology, healthcare services, medical technology และ life sciences เรียกว่าได้ทั้งบริษัทยาแบบดั้งเดิมและบริษัทสายนวัตกรรมสุขภาพ
ข้อมูลจาก Fund Fact Sheet กองทุน JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund, Class A ณ วันที่ 31 ก.ค. 2023 กองทุนเน้นลงทุนกลุ่ม pharmaceutical มากที่สุด 29.6% ตามด้วยกลุ่ม Medtech ที่ 26.3%, Biotechnology ที่ 24.0% และ Healthcare Services ที่ 19.0%
ตัวอย่างหุ้นเด่นก็มี UnitedHealth บริษัทประกันสุขภาพอันดับ 1 ในสหรัฐฯ, Johnson & Johnson บริษัทยาครบวงจรตั้งแต่ยาสามัญประจำบ้าน ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น Tylenol, Listerine และอีกบริษัท Eli Lilly ที่แซง Jonhson & Jonhson ขึ้นแท่นบริษัทยาขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับแรงหนุนจากยารักษาเบาหวานตัวใหม่ และทดลองยารักษาอัลไซเมอร์ที่ประสบความสำเร็จในการทดลองขั้นสุดท้าย
ข้อมูลความผันผวนจาก Fund Fact Sheet กองทุน K-GHEALTH ณ วันที่ 1 ก.ย. 2023 ชี้ว่า 3 ปีที่ผ่านมา กองทุนนี้มีความผันผวน 16.72% ต่อปี ซึ่งน้อยกว่ากองทุน K-USXNDQ-A(A) ที่ทำผลตอบแทนตามดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งมีความผันผวนที่ 24.88% ต่อปี
นักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอน ด้วยกลุ่มหุ้นที่มีรายได้และกำไรสม่ำเสมอ ความผันผวนไม่สูงมากเมื่อเทียบกับหุ้นสาย Growth กองทุน K-GHEALTH เป็นคำตอบให้กับคำถามนี้ได้อย่างลงตัว