เหตุโจมตีของกลุ่มฮามาสครั้งใหญ่ในรอบหลายปี อิสราเอลเข้าสู่ภาวะสงคราม
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มฮามาสยิงจรวดหลายพันลูกใส่อิสราเอล ฝ่าแนวชายแดนเข้าโจมตีในดินแดนอิสราเอล ด้านนายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่าอิสราเอลเข้าสู่สงครามแล้ว และเตือนให้ประชาชนเร่งอพยพออกจากฉนวนกาซา จนถึงตอนนี้มีประชาชนทั้งฝั่งอิสราเอลและปาเลสไตน์เสียชีวิตรวมแล้วกว่า 1,000 ราย ซึ่งสถานการณ์ยังคงความตึงเครียดและมีความไม่แน่นอนสูง
มุมมองผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
อิทธิพลของอิสราเอลต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินมีจำกัด แต่สถานการณ์นี้มีโอกาสส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศอื่นผ่านราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ ในขณะเดียวกันเงินลงทุนได้ไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ, พันธบัตรสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์
อิสราเอลมีประเทศจีนเป็นคู่ค้าหลักที่ 14.3% ตามด้วยสหรัฐฯ 11.4% ตุรกี 6.8% และเยอรมนี 6.8% โดยมีสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ 1.Electrical Machinery, Equipment 2. Gems, Precious Metals 3. Optical, Technical, Medical 4. Machinery, Computer ส่วนสินค้านำเข้าหลัก ได้แก่ 1.แร่และน้ำมัน 2.อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า 3.เครื่องจักรและ Nuclear Reactor 4.ยานยนต์ ดังนั้นหากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจมีผลต่อ Supply Chain อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ semiconductor
การลงทุนของ บลจ.กสิกรไทย ในหุ้น/ตราสารหนี้ประเทศอิสราเอล
ไม่มีการลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ประเทศอิสราเอล แต่เป็นการลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนหลัก ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนที่ต่ำมาก ไม่ถึง 1%
สำหรับกองทุน Term Fund (กองทุนตราสารหนี้แบบกำหนดอายุโครงการ เช่น 6 เดือน 1 ปี ฯลฯ) บางกองทุนที่มีการลงทุนในเงินฝากธนาคารในตะวันออกกลาง ผลกระทบต่อธนาคารในตะวันออกกลางดังกล่าวมีค่อนข้างจำกัด โดยธนาคารที่ บลจ.กสิกรไทย ลงทุนในตะวันออกกลาง ได้แก่ ธนาคารในกาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งไม่ได้อยู่ในบริเวณพื้นที่สงคราม และมีธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ภายในประเทศ อีกทั้งธนาคารส่วนใหญ่ไม่พบว่ามีข้อมูลการปล่อยสินเชื่อหรือมีธุรกรรมในประเทศอิสราเอล
มุมมองการลงทุนโดยรวม
ความไม่สงบในภูมิภาคดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาอย่างยาวนาน อาจมีความรุนแรงมากขึ้นในระยะสั้น แต่คาดว่าจะไม่ลุกลามไปยังประเทศอื่นในภูมิภาค โดยจากในอดีตหากมีปัญหาระยะสั้นที่ไม่ได้เกิดปัญหาด้านพื้นฐานบริษัท ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงเฉลี่ย 1.1% ต่อวัน และการปรับตัวลงมากที่สุดเฉลี่ย 6%
ดังนั้นหากประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน มองว่าผลกระทบมีจำกัด แต่ต้องติดตามว่าจะลุกลามหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบผ่านราคาน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ และค่าเงินดอลลาร์
K WEALTH ยังคงมุมมองต่อทุกสินทรัพย์การลงทุน โดยมองว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลงระยะสั้นจากความไม่แน่นอนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม K WEALTH ยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะโอกาสที่สถานการณ์อาจลุกลาม ซึ่งจากข้อมูลปัจจุบันมองว่าการปรับตัวครั้งนี้กลับเป็นโอกาสทยอยสะสมสินทรัพย์ที่มีมุมมอง Slightly Positive อย่างกองทุนหุ้นเวียดนาม และยังแนะนำให้มีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม
คำแนะนำการลงทุน
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
o ต้องการกระจายความเสี่ยงไปสู่การลงทุนในต่างประเทศ และมองเห็นโอกาสการเติบโตระยะยาวของประเทศเวียดนาม แนะนำพิจารณากองทุน K-VIETNAM
o ต้องการกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน เน้นการลงทุนสินทรัพย์ประเทศไทย และรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น
o ชอบกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศบางส่วน แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN1 ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXEDPLUS แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
o หากไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-CBOND ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXED ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
o แต่หากต้องการลงทุนกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade แนะนำลงทุนกองทุน K-GB ถือลงทุนอย่างน้อย 3-5 ปี
• สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น
o โดยไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือกองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
o ต้องการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย คือ ทองคำ เพื่อรับกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แนะนำลงทุนกองทุน K-GOLD-A(A)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”