จับสถิติลงทุนทอง ผลตอบแทนเป็นอย่างไร แม้ในช่วงวิกฤติ

หากนับตั้งแต่เกิดสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วประมาณ 10% ปัจจุบันมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น ที่ได้สร้างผลกระทบต่อราคาทองคำ

กดฟัง
หยุด

• ราคาทองคำจากสถิติมักปรับตัวขึ้น จากปัจจัยทั้งภาวะสงคราม การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย


• สิ่งที่ต้องติดตามเกี่ยวกับราคาทองคำหลังจากนี้ คือสงครามจะขยายวงกว้างหรือไม่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯจะแข็งค่าต่อ ตามทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือไม่ และในอนาคตจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นจริงหรือไม่


• ทองคำสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ แต่หากลงทุนสินทรัพย์อย่างอื่น เช่น หุ้น ควบคู่ไปด้วย ในระยะเวลาที่เท่ากัน ก็จะช่วยสร้างผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนให้สูงขึ้นไปอีก



หากนับตั้งแต่เกิดสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วประมาณ 10% และมีปัจจัยดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า รวมถึงความกังวลว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยในอนาคตอีกด้วย แต่สถิติย้อนหลังเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง


ราคาทองคำพุ่งขึ้น เมื่อเกิดสงคราม-ความไม่สงบ



ข้อมูลจาก KS,ทันหุ้น หากย้อนดูเหตุการณ์ในอดีต เมื่อเกิดสงคราม หรือเหตุการณ์ความไม่สงบ ก็พบว่าเมื่อเกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียร์ ราคาทองคำสูงขึ้น 6.8% เหตุการณ์ก่อการร้ายที่สหรัฐฯ 11 กันยายน 44 ราคาทองคำสูงขึ้น 6.8% เหตุการณ์ไครเมียถูกแยกตัวออกจากยูเครน ราคาทองสูงขึ้น 3.7% และเหตุการ์สหรัฐฯสังหารนายพลอิหร่าน ราคาทองคำสูงขึ้น 3.8% จึงพอที่จะสรุปได้ว่าเมื่อเกิดสงคราม หรือเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาจะปรับตัวขึ้น


ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ทั้งเหตุการ์สหรัฐฯสังหารนายพลอิหร่าน และเหตุการณ์ไครเมีย ที่ความขัดแย้งไม่ได้ขยายออกไปในวงกว้าง จะพบว่าราคาทองคำปรับตัวลง ประมาณ 3-4% หลังเหตุการณ์ไม่มีความเสี่ยงขยายตัวภายใน 7 วัน ทำให้เราต้องติดตามต่อว่า สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จะมีทิศทางขยายวงกว้างหรือไม่



ราคาทองคำพุ่งขึ้น เมื่อดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า



ในอดีตทองคำมักมีทิศทางการเคลื่อนไหวตรงกันข้าม กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอย่างเห็นได้ชัด เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ราคาทองคำก็จะปรับตัวลง แต่เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า ราคาทองคำก็จะปรับตัวขึ้น ซึ่งหากดูข้อมูลในปัจจุบัน จะพบว่าช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค. 66 เงินดอลลาร์สหรัฐฯปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามทิศทาง Bond Yield สหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นจนถึงต้นเดือนต.ค. ความน่าสนใจของทองคำที่ไม่ได้สร้างผลตอบแทนระหว่างการถือจึงน่าสนใจน้อยกว่า การฝากเงิน การถือพันธบัตรที่ได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทองจึงน่าสนใจน้อยกว่า และค่อยๆปรับตัวลง แต่เมื่อค่าเงินดอลลาร์ฯเริ่มพักตัวตั้งแต่ช่วงต้นเดือนต.ค. ตามการพักตัวของ Bond Yield สหรัฐฯ แรงซื้อราคาทองคำก็กลับมา ดันราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้น


ซึ่งก็ต้องติดตามต่อว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะมีทิศทางใด หากธนาคารกลางสหรัฐฯยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อ ก็อาจส่งผลให้ Bond Yield ปรับขึ้นต่อ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีทิศทางแข็งค่า ทองคำที่ไม่ได้สร้างผลตอบแทนระหว่างการถือครอง ก็อาจปรับตัวลดลงได้เช่นกัน





ราคาทองคำเป็นพุ่งขึ้น เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย




เศรษฐกิจถดถอย หรือการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงมากในปีนี้ หลังธนาคารหลายแห่งในสหรัฐฯเจอปัญหาสภาพคล่อง ก็ทำให้เกิดการคาดการณ์กันในวงกว้าง ไม่ปีนี้ ก็ปีหน้าที่จะมีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งหากย้อนกลับไปดูในอดีต เกือบทุกครั้งเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทองคำจะมีการปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะ 20 ปีหลัง ตั้งแต่วิกฤติฟองสบู่ Dot-com , วิกฤติอสังหาฯ Subprime ,วิกฤติโควิด-19 เมื่อเกิดวิกฤติ ราคาทองก็จะปรับตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ


ดังนั้นการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ หรือการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งในอนาคตที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด



เห็นแบบนี้ ลงทุนทองคำอย่างเดียวดีไหม?

นักลงทุนหลายคนมีความเชื่อว่าลงทุนทองระยะยาวจะดี ซื้อๆเก็บไว้ เดี๋ยวราคาก็ขึ้นเองในอนาคต ซึ่งก็เป็นหนึ่งในความเชื่อที่มีมานานเพราะราคาทองในอดีต เทียบกับปัจจุบันก็มีการปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องจริงๆ แม้จะมีช่วงที่ราคาทองไม่สร้างผลตอบแทนเป็นเวลานานบ้าง เช่น 1980 – 2008 และปี 2012 - 2020




แต่ด้วยระยะเวลาการลงทุนที่เท่ากันในระยะยาว หากลงทุนสินทรัพย์อย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น หุ้น อย่างในตัวอย่างลงทุนดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ ต.ค. 32 จนถึงปัจจุบันช่วงเดือนต.ค. 66 เทียบกับการลงทุนทองคำ จะพบว่าการลงทุนดัชนีหุ้น S&P 500 ทำผลตอบแทนอยู่ที่ 1093% ชนะการลงทุนทองคำที่ผลตอบแทน 446% และหากลงทุนหุ้นที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ในอดีต เช่น APPLE, AMAZON หรือหุ้นอีกหลายๆตัว ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนมหาศาลมากขึ้นไปอีก หุ้นจึงเป็นทางเลือกที่ได้ผลตอบแทนดีไม่แพ้ทองคำ





ผลตอบแทนย้อนหลัง
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี(ต่อปี)
3 ปี(ต่อปี)
5ปี(ต่อปี)
10ปี(ต่อปี)
ดัชนีหุ้น S&P 500
-11.76%
1.65%
5.67%
8.74%
10.78%
10.72%
ดัชนีทองคำโลก
LBMA Gold Price AM
0.30%
-1.79%
14.21%
0.42%
8.78%
3.66%
ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ข้อมูล ณ วันที่ 26 ต.ค.66


ดังนั้น การกระจายการลงทุนสินทรัพย์อย่างอื่นที่นอกเหนือจากทองคำ ก็เป็นอีกวิธีการที่ช่วยให้ผลตอบแทนของเงินงอกเงยมากขึ้นกว่าเดิม จะลงทุนเลือกกองทุนด้วยตัวเอง KBANK ก็มีผลิตภัณฑ์กองทุนรวมให้เลือกเยอะแยะมากมาย ทั้งกองทุนหุ้นที่มีให้เลือกหลากหลายประเทศ กองทุนตราสารหนี้ และกองทุนผสม เลือกได้ตามความต้องการหากต้องการจัดพอร์ตของตัวเอง อย่างกองทุนหุ้นที่แนะนำช่วงนี้ เช่น K-HIT-A(A), K-VIETNAM, K-GHEALTH


ส่วนใครที่ไม่รู้จะลงทุนผลิตภัณฑ์นอกเหนือจากทองคำอย่างไร ไม่รู้จะจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร แนะนำเลือกลงทุน Wealth Plus โดยสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทความที่เกี่ยวข้องด้านล่างในชื่อ “ลงทุนอะไรดี? เจาะลึกการลงทุนเพื่อต่อยอดอนาคตทางการเงินให้งอกเงย”


ส่วนใครที่ต้องการลงทุนทองคำ แนะนำกองทุน K-GOLD-A(D) สำหรับผู้ที่ต้องการให้กองทุนจ่ายปันผลระหว่างทาง หรือ K-GOLD-A(A) สำหรับผู้ที่ต้องการให้สะสมมูลค่า ไม่จ่ายปันผลออกมา และแนะนำลงทุนไม่เกิน 10% ของพอร์ตการลงทุน


คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT™
Back to top