ประเด็นร้อน: FED คงดอกเบี้ยตามคาด แต่เปิดช่องขึ้นได้อีกถ้าจำเป็น

Fed มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25-5.50% ตามคาดการณ์ เป็นการคงอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ติดต่อกัน พร้อมคงทำแผน QT ลดการถือครองพันธบัตรและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ขณะเดียวกันยังเปิดช่องพร้อมขึ้นอัตราดอกเบ

• Fed มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25-5.50% ตามคาดการณ์ เป็นการคงอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ติดต่อกัน พร้อมคงทำแผน QT ลดการถือครองพันธบัตรและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ขณะเดียวกันยังเปิดช่องพร้อมขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีกหากมีความจำเป็น เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง


• ผลประกอบการไตรมาส 3/2023 ส่วนใหญ่ดีกว่าคาดการณ์ แต่มุมมองธุรกิจและประมาณการผลประกอบการจากผู้บริหารยังไม่โดดเด่นอย่างที่ตลาดคาดไว้ อีกทั้ง Bond Yield อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 4.7-5.0% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงยังถูกกดดันในระยะสั้นถึงกลาง ดังนั้นเมื่อพิจารณาปัจจัยบวกและปัจจัยที่กดดัน K WEALTH จึงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ




Fed คงดอกเบี้ยตามคาด

Fed มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25-5.50% ตามคาดการณ์ นับเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน หลังปรับขึ้นมา11 ครั้ง ขณะเดียวกันยังคงแผนปรับลด (QT) การถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ไว้เช่นเดิม



เผยเศรษฐกิจแกร่ง อาจปรับขึ้นอีกได้ในอนาคต

ในแถลงการณ์ของ Fed หลังการประชุม ส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 แต่ Fed ยอมรับว่าภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน



Fed มองลดเงินเฟ้อ ต้องทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว

นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed เผยเพิ่มเติมว่าการลดเงินเฟ้อนั้นจำเป็นต้องทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจชะลอตัวลง ซึ่งจะกระทบต่อตลาดแรงงาน แต่ยังไม่ได้เริ่มพิจารณาแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่า Fed จะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้



มุมมองการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ

การประชุมครั้งนี้สะท้อนท่าทีว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ใกล้สิ้นสุดรอบวัฏจักรแล้ว ช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม Fed ยังเปิดโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีก เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่ง ทำให้เงินเฟ้อยังคงสูงกว่าระดับเป้าหมายของ Fed ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้อีกในอนาคต


ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/2023 ส่วนใหญ่ดีกว่าคาดการณ์ แต่มุมมองธุรกิจและประมาณการผลประกอบการจากผู้บริหารยังไม่โดดเด่นอย่างที่ตลาดคาดไว้ อีกทั้ง Bond Yield อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 4.7-5.0% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงยังถูกกดดันในระยะสั้นถึงกลาง ดังนั้นเมื่อพิจารณาปัจจัยบวกและปัจจัยที่กดดัน K WEALTH จึงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ



คำแนะนำการลงทุน


• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH ลงทุนในบริษัท Healthcare เป็นกลุ่ม Defensive ที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน

o ต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน เน้นการลงทุนสินทรัพย์ประเทศไทย และรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3


• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น

o ชอบกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศบางส่วน แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN1 ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXEDPLUS แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี

o หากไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-CBOND ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXED ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี

o แต่หากต้องการลงทุนกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade แนะนำลงทุนกองทุน K-GB ถือลงทุนอย่างน้อย 3-5 ปี


• สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น

และไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือกองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”