ประเด็นร้อน: ฮ่องกง REIT ตราสารหนี้ บวกแรงรับข่าวดี

ดัชนี Hang Seng (HSI) ปรับตัวขึ้นปิดตลาด 2.58% เช่นเดียวกับดัชนี Hang Seng China Enterprise (HSCEI) ที่ปรับตัวขึ้นปิดตลาด 2.28% โดยรับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือน พ.ย. ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม รวมไปถึงการอัดฉีดสภาพคล่องจาก

กดฟัง
หยุด

• ศุกร์ที่ 15 ธ.ค. ดัชนี Hang Seng ปิดบวก 2.58% รับตัวเลขเศรษฐกิจฟื้น ส่วนGlobal REIT และ ตราสารหนี้ ปรับตัวขึ้นจากปัจจัย FED ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยปีหน้า


• K WEALTH ยังมีมุมมอง Neutral ต่อหุ้นจีน จากภาพรวมเศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีมุมมอง Neutral ต่อ Global REIT จากเหตุ Bond Yield ยังอยู่ระดับสูง ส่วนตราสารหนี้มีมุมมอง Positive เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยมีโอกาสปรับตัวลดลงในอนาคต




สำหรับวันที่ 18 ธ.ค.2566 K WEALTH จะชวนทุกคนมาอัปเดตสภาวะตลาดการลงทุนของจีน, Global REIT และตราสารหนี้ เหตุใดจึงปรับตัวขึ้นแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้ว KWEALTH มีมุมมองต่อสินทรัพย์เหล่านี้อย่างไร



1.ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นรับแรงหนุนตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวและกลุ่มอสังหาฯ

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค. 2566 ดัชนี Hang Seng (HSI) ปรับตัวขึ้นปิดตลาด 2.58% เช่นเดียวกับดัชนี Hang Seng China Enterprise (HSCEI) ที่ปรับตัวขึ้นปิดตลาด 2.28% โดยรับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือน พ.ย. ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม รวมไปถึงการอัดฉีดสภาพคล่องจากธนาคารกลางจีนที่มากสุดเป็นประวัติการณ์


1) ตัวเลขเศรษฐกิจจีน เดือน พ.ย. ฟื้นตัวต่อเนื่อง

ทางการจีนเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ เดือน พ.ย. ที่ออกมาแสดงถึงการฟื้นตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) ขยายตัว 6.6% (YoY) ด้านการลงทุนสินทรัพย์คงทน (Fixed Asset Investment) ขยายตัว 2.9% (YoY) รวมถึงตัวเลขค้าปลีก (Retail Sales) ขยายตัว 10.1% (YoY)


2) รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม

ทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม โดยเมืองปักกิ่งลดอัตราส่วนเงินดาวน์บ้านหลังแรกจาก 35% มาที่ 30% เช่นเดียวกับเมืองเซียงไฮ้ที่ลดอัตราส่วนเงินดาวน์บ้านหลังแรกมาที่ 30% และบ้านหลังที่สองลดมาที่ 50% โดยทั้งสองเมืองต่างลดหลักเกณฑ์บ้านที่ไม่หรูหรา เพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดในภาคอสังหาฯ เพิ่มเติมอีกด้วย


3) ธนาคารกลางจีนอัดฉีดสภาพคล่องสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ธนาคารกลางจีน (PBOC) อัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบผ่านเครื่องมือเงินกู้ระยะกลาง (MLF) 1.145 ล้านล้านหยวน โดยเมื่อหักล้างกับยอดเงินกู้ระยะกลางที่ครบกำหนด 650,000 ล้านหยวน ทำให้มีการอัดฉีดสภาพคล่องสุทธิ 800,000 ล้านหยวน นับเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์



2.กองทุนประเภท Global REIT และตราสารหนี้ ปรับตัวขึ้นหลังธนาคารกลางสหรัฐฯส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย

กองทุน K-GPROP-A(A) ซึ่งลงทุน REITทั่วโลก ราคา NAV ณ วันที่ 14 ธ.ค. 2566 ปรับตัวขึ้นแรง 5.27% ขณะที่กองทุนตราสารหนี้อย่าง K-FIXEDPRO ราคา NAV ณ วันเดียวกัน ปรับตัวขึ้นแรง 0.49% โดยสาเหตุหลักมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยปีหน้า อย่างน้อย 3 ครั้ง รวมถึง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี ปรับตัวลงต่อเนื่องจนต่ำกว่าระดับ 4%


การที่ FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีหน้า รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีปรับตัวลงต่อเนื่อง ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่าง REIT ที่ K-GPROP-A(A) ไปลงทุนทั่วโลก กลับมามีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ราคาจึงปรับตัวขึ้น รวมถึงการที่ FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย และ Bond Yield ปรับตัวลง ส่งผลตราสารหนี้ระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนระดับสูง มีความน่าสนใจกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ระยะยาวที่กองทุน K-FIXEDPRO ลงทุน ได้รับประโยชน์ไปด้วย



มุมมองการลงทุน

1.มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นจีน

ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่สำคัญบางส่วนจะเปิดเผยออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ แต่หากพิจารณาภาพรวมจะพบว่ามีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยรับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นที่ออกมาก่อนหน้านี้ และถึงแม้การประชุมการทำงานเศรษฐกิจส่วนกลางจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะไม่มีการพูดถึงมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ แต่จะเห็นว่าทางการทยอยออกมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับธนาคารกลางจีนที่สนับสนุนระบบการเงินด้วยการอัดฉีดสภาพคล่อง


อย่างไรก็ตาม K WEALTH มองมีมุมมองเป็น Nuetral แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวแต่ยังต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้ต้องติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะต่อจากนี้ เช่นเดียวกับขนาดมาตรการกระตุ้นโดยเฉพาะต่อภาคอสังหาฯ รวมถึงติดตามการบริโภคภายในให้เห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจน และมาตรการของภาครัฐในการเรียกความมั่นใจจากนักลงทุนต่างชาติ


2.มุมมองการลงทุนใน Global REIT

ส่วน REIT เริ่มมีความน่าสนใจ หลัง Bond Yield ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างปันผลของ REIT และ Bond Yield ค่อยๆดูดีขึ้น แต่ปัจจุบัน Bond Yield ก็ยังอยู่ในระดับสูงอยู่ ดังนั้น K WEALTH จึงยังมีมุมมอง Neutral ต่อกลุ่ม Global REIT


3.มุมมองการลงทุนตราสารหนี้

ขณะที่ตราสารหนี้ ยังมีมุมมอง Positive เนื่องจากการสภาวะ Bond Yield ปัจจุบันที่ปรับตัวลง ยังเป็นผลดีต่อราคาตราสารหนี้ระยะยาว



คำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นจีน และ Global REIT

• สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน เช่น กองทุน K-CHINA, K-CHX, K-CCTV และ/หรือ Global REIT เช่น K-GPROP-A(A)

o หากมีสัดส่วนแต่ละกลุ่มมากกว่า 30% ของเงินลงทุน และขาดทุนมากกว่า 10% แนะนำรอจังหวะที่กองทุนปรับตัวขึ้นเพื่อทยอยขายออกบางส่วนให้สัดส่วนน้อยกว่า 30% โดยนำเงินค่าขายไปลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น เช่น K-PLAN3, K-HIT, K-CHANGE-A(A), K-GHEALTH

o หากมีสัดส่วนแต่ละกลุ่มมากกว่า 30% และขาดทุนน้อยกว่า 10% แนะนำทยอยขายบางส่วนให้เหลือสัดส่วนน้อยกว่า 30% โดยนำเงินค่าขายไปลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น เช่น K-PLAN3, K-HIT, K-CHANGE-A(A), K-GHEALTH\

• ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน หรือ Global REIT แนะนำให้รอโอกาสเพื่อเข้าลงทุนในอนาคต

• นักลงทุนที่กังวลและรับความเสี่ยงได้น้อย ไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศได้ แนะนำให้เข้าลงทุนกองทุน K-SF เหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน กองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน หรือกองทุน K-FIXED ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี

.


คำแนะนำการลงทุนตราสารหนี้

• สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนใน K-FIXEDPRO แนะนำถือต่อ และทยอยสะสมเพิ่ม

• สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนใน K-FIXEDPRO หากต้องการพักเงินในกองทุนพักเงิน แนะนำลงทุนกองทนตราสารหนี้ตามระยะเวลา เช่น กองทุน K-SF เหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน กองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน หรือกองทุน K-FIXED ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Investing, CNBC

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”


คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer
Back to top