ประธานาธิบดีคนใหม่ จากพรรคเดิม
นายไล่ ชิงเต๋อ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party - DPP) ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวันเมื่อ 13 ม.ค. 2024 นับเป็นพรรคแรกที่สามารถเป็นรัฐบาลต่อเนื่องสมัยที่ 3 โดยกวาดคะแนนเสียงไปได้ 5,586,019 คะแนน เอาชนะพรรคฝ่ายค้าน อย่างนายโหว โหย่วอี๋ จากพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ได้ไป 4,671,021 คะแนน และนายเคอ เหวินเจ๋อ จากพรรคประชาชนไต้หวัน (TPP) ที่ได้ไป 3,690,466 คะแนน ส่งผลให้เช้าวันที่ 15 ม.ค. 2024 ดัชนีตลาดหุ้นไต้หวัน TAIEX ณ 11.07 น. ตามเวลาประเทศไทย อยู่ที่ 17606.51 บวก 0.57%
จุดยืนประธานาธิบดี ชี้ชะตาความขัดแย้งไต้หวัน-จีน-สหรัฐฯ
สาเหตุที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาการเลือกตั้งในครั้งนี้ เนื่องจากจุดยืนของพรรค DPP ที่ชนะเลือกตั้ง คือไม่ต้องการที่จะร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับจีน และมุ่งมั่นที่จะปกป้องไต้หวันจากภัยคุกคามจากจีน ทำให้ยิ่งตอกย้ำโอกาสที่จะเกิดสงครามระหว่างจีน-ไต้หวัน ขณะที่พรรค KMT มีจุดยืนที่ต่างกัน คือ (1) ไม่ใช่การรวมเป็นหนึ่ง (2) ไม่เป็นเอกราช และ (3) ไม่เผชิญหน้าทางการทหาร โดยคงความสัมพันธ์แบบเดิม คือ คลุมเครือกับจีน ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนไต้หวันส่วนใหญ่พอใจกับความสัมพันธ์แบบนี้
ท่าทีของรัฐบาลจีน
วันที่ 14 ม.ค.2024 หลังทราบผลเลือกตั้งไต้หวัน นาย หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ระบุว่า แม้ผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นเช่นไร ไต้หวันก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของจีน และไม่สามารถเปลี่ยนฉันทามติของประชาคมโลก ที่ยึดนโยบายจีนเดียวได้ ซึ่งก็ต้องติดตามท่าทีของรัฐบาลจีนหลังจากนี้ต่อไป
ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ
ประธานาธิบดี ไบเดน ของสหรัฐฯ ยังออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องประเด็นไต้หวันว่า สหรัฐฯยังคงสนับสนุนหลักการ One China และไม่ได้ต้องการเห็นไต้หวันแยกตัวออกมาเป็นอิสระ ( “We do not support independence" ) และ นายไล่ ชิงเต๋อ ก็กล่าวในการแถลงข่าวว่าต้องการ "maintain peace and stability" กับจีน ทำให้ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์จะสามารถลดความตึงเครียดไปได้บ้าง
มุมมองการลงทุนจาก KAsset Investment Strategy
ถึงแม้ว่าพรรค DPP ได้ชนะ แต่เป็นการชนะที่มีเสียงในสภาที่อ่อนแอลง พรรค DPP เสียที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ และพรรค KMT ได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นจำนวนเสียงในสภาที่พรรค DPP ได้รับ น้อยลงจาก 63 ที่นั่งในปี 2020 เหลือ 51 ที่นั่งในปี 2024 และจำนวนเสียงโหวตให้กับพรรคก็น้อยลง จาก 7 ล้านคนในรอบที่แล้วเหลือ 5.6 ล้านคน ในขณะที่ KMT ได้จำนวนที่นั่งในสภานิติบัญญัติมากขึ้น จากเดิม 38 ที่นั่ง เป็น 52 ที่นั่ง เป็นจุดที่น่าสนใจที่ว่า ไม่ได้มีพรรคใดพรรคหนึ่งที่มีคะแนนเสียงข้างมากอย่างชัดเจนในสภานิติบัญญัติ โดยบลจ.กสิกรไทยมองว่าเรื่องนี้ เป็นปัจจัยบวกอ่อนๆ ต่อความสัมพันธ์กับประเทศจีน เนื่องจากโทนเสียงของพรรค DPP และความแข็งกร้าวต่อจีนก็ได้อ่อนลงมาแล้ว และถึงแม้ว่า DPP จะชนะ แต่เป็นการชนะที่มีเสียงในสภาน้อยลง ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ ถือว่าเป็น Status quo คือความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันและจีนจะยังค่อนข้างคลุมเครือ และไม่ได้มีความเสี่ยงใดๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจน
คำแนะนำการลงทุน
• นักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน เช่น กองทุน K-CHINA, K-CHX และ K-CCTV ทีม K WEALTH ยังมีมุมมอง Neutral หรือเป็นกลางต่อการลงทุนตลาดหุ้นจีน โดยสามารถถือต่อได้ แต่ไม่ควรมีสัดส่วนมากกว่า 30%ของเงินลงทุน
o หากมีสัดส่วนมากกว่า 30%ของเงินลงทุน และขาดทุนมากกว่า 10% แนะนำรอจังหวะที่กองทุนปรับตัวขึ้นเพื่อทยอยขายออกบางส่วน แต่หากขาดทุนน้อยกว่า 10% แนะนำพิจารณาทยอยขายบางส่วน เพื่อลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนลงให้น้อยกว่า 30% โดยนำเงินค่าขายคืนไปลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น เช่น K-PLAN3, K-HIT, K-CHANGE-A(A), K-GHEALTH
o หากยังไม่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน แนะนำให้รอติดตามผลการเลือกตั้งและติดตามสถานการณ์เพื่อหาโอกาสเข้าลงทุนในอนาคต
• นักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นเอเชีย เช่น K-ASIA K-ASIAX ฯลฯ ที่ ณ 30 พ.ย. 66 มีสัดส่วนการลงทุนในไต้หวัน 17%-19% และจีน 7%-34% ทีม K WEALTH มีมุมมอง Slightly Positive หรือค่อนข้างเป็นบวก สามารถถือและทยอยลงทุนเพิ่มได้ แต่ก็ไม่ควรมีสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มนี้เกิน 30%ของเงินลงทุน
• สำหรับนักลงทุนที่กังวลหรือรับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำให้เข้าลงทุนกองทุน K-SF ที่เหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน กองทุน K-SFPLUS ที่เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน หรือกองทุน K-FIXED ที่เหมาะกับการลงทุน 1 ปีขึ้นไป