ประเด็นร้อน: อัปเดตสถานการณ์ล่าสุด ของกองทุน KTFT6 (Trigger Fund)

• ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิปี 66 สูงถึง 1.92 แสนล้านบาท ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่อง กองทุน KTFT6 ที่เน้นลงทุนหุ้นไทย ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย จากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศหลัง COVID-19 ที่อ่อนแอ


• ผู้จัดการกองทุนเปิดเค ไทย เฟล็กซิเบิ้ล ทริกเกอร์ 6 (KTFT6) มองผลตอบแทนของกองทุนจะปรับตัวขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสนับสนุนตลาดช่วงไตรมาส 1/67 ทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก


• ผู้จัดการกองทุนมีความเชื่อมั่นว่าในช่วงต้นปี 67 หุ้นกลุ่มการบริโภคภายในประเทศจะเป็นกลุ่มที่เติบโตได้ดี จึงมีการปรับพอร์ตเน้นลงทุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก (Commerce) ซึ่งปี 66 มีการปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 21%




17 ม.ค. 67 ราคา NAV กองทุนเปิดเค ไทย เฟล็กซิเบิ้ล ทริกเกอร์ 6 (KTFT6) อยู่ที่ 8.6798 บาท/หน่วย ทำให้ผลตอบแทนปัจจุบัน ยังขาดทุนอยู่ที่ 13.22% โดยกองทุนจะครบระยะเวลา 6 เดือน ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในวันที่ 27 ก.พ. 67 คำถามของผู้ลงทุนคือเกิดอะไรขึ้นกับกองทุนหุ้นไทยกองนี้ ทำไมถึงยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ แล้วอนาคตจะสามารถกลับมาบวกได้หรือไม่



ทำไมกองทุน KTFT6 ถึงมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุน

เกิดจากตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลง ซึ่งมาจาก 4 สาเหตุหลัก ได้แก่


1.นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิปี 66 สูงถึง 1.92 แสนล้านบาท ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่อง กองทุนจึงได้รับผลกระทบด้วย จากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่อ่อนแอหลัง COVID-19 จากรายงาน Bloomberg Concensus ช่วงปี 62-67 การเติบโตของกำไรสุทธิตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 4.39% เทียบประเทศในกลุ่มอาเซียนเฉลี่ยอยู่ที่ 10.39% รวมถึง SET Index มีการซื้อขายด้วยระดับ PER (Price per Earning Ratio) ที่ค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับประเทศกลุ่มอาเซียน ที่มีแนวโน้มการเติบโตระดับเดียวกัน หรือสูงกว่า ทำให้ตลาดหุ้นประเทศอื่นน่าสนใจกว่า จึงเกิดแรงเทขาย แล้วนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นประเทศอื่น


2.การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ตามทิศทางของสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2566 หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมากกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดคาดว่า FED อาจยังคงดอกเบี้ยระดับสูงไว้อีกนาน ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี หรือ Bond Yield ปรับตัวขึ้น จนส่งผลต่อการปรับตัวขึ้นของ Bond Yield ไทยเช่นกัน ทำให้ความน่าสนใจของหุ้นน้อยลง ตลาดหุ้นไทยจึงปรับตัวลง จึงส่งผลกระทบต่อราคากองทุน KTFT6


3.นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยต่ำกว่าคาด ถึงแม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมเป็นไปตามเป้าที่ 27 ล้านคน แต่พบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เป็นความหวังการท่องเที่ยวไทย เข้าไทยเพียง 3.5 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่ 4.4 ล้านคน จากทั้งปัญหาเศรษฐกิจจีนที่ทำให้ชาวจีนเที่ยวต่างประเทศน้อยลง การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจีน ความกังวลต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน จากกรณีเหตุการณ์ที่พารากอน รวมถึงจำนวนเที่ยวบินที่น้อยด้วย ส่งผลกระทบต่อหุ้นไทยหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มท่องเที่ยว การบริโภค รวมถึงกลุ่มอื่นทั้งทางตรงและทางอ้อม


4.ความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการ Digital Wallet 10,000 บาท ที่หลายฝ่ายจับตามอง ซึ่งยังมีความคลุมเครือว่าสุดท้ายจะสามารถดำเนินโครงการได้หรือไม่ ดำเนินการอย่างไร จัดหาเงินทุนจากแหล่งใด และหากใช้วิธีกู้เงินแล้วจะกระทบต่อการระดมเงินของตลาดตราสารหนี้หรือไม่ ซึ่งความไม่แน่นอนและความกังวลเหล่านี้เป็น Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยและกองทุน KTFT6 ด้วย



ผู้จัดการกองทุน มองกองทุนยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นในช่วง 1-2 เดือน

ผู้จัดการกองทุนเปิดเค ไทย เฟล็กซิเบิ้ล ทริกเกอร์ 6 (KTFT6) มองว่ามูลค่ากองทุนจะปรับตัวขึ้นได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยสนับสนุนตลาดช่วงไตรมาส 1/67 ทั้งปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน ดังนี้


ปัจจัยภายนอก

1.ท่าทีของ FED (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) ในการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่อการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ และไทย โดยหาก Bond Yield ปรับตัวลงต่อเนื่อง หุ้นไทยก็มีโอกาสจะปรับตัวขึ้นได้


ปัจจัยภายใน

1.ท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมองว่าดอกเบี้ยระดับ 2.5% อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว ไม่น่ามีการปรับตัวขึ้นอีก


2.ภาคการท่องเที่ยว หากการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง High Season ประกอบกับมาตรการ Free Visa ที่อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวไทยได้มากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว และโรงแรม


3.มาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt ซึ่งเป็นมาตรการคล้ายชอปดี มีคืน ในอดีต ที่ให้ประชาชนนำเงินค่าสินค้าหรือบริการมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคสินค้า ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น หุ้นกลุ่มค้าปลีก

4.การประกาศใช้ พรบ.งบประมาณ ที่ล่าช้ามาตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม จากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า หาก พรบ.งบประมาณมีการประกาศใช้ โดยคาดว่าจะประกาศช่วงไตรมาส 2/67 จะทำให้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การใช้จ่ายภาครัฐต่างๆ ที่ถูกชะลอไว้ก่อนหน้า จะถูกใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย



ผู้จัดการกองทุนปรับพอร์ตอย่างไร? ให้สอดคล้องกับปัจจัยสนับสนุน

ผู้จัดการกองทุนมีความเชื่อมั่นว่าในช่วงต้นปี 67 หุ้นกลุ่มการบริโภคภายในประเทศจะเป็นกลุ่มที่เติบโตได้ดี จึงมีการปรับพอร์ตเน้นลงทุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก (Commerce) ซึ่งปี 66 มีการปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 21% จนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่สอดคล้องกับ Theme การลงทุนของพอร์ตหลัก (Core Portfolio ที่มีสัดส่วนเงินลงทุน 80% ของเงินลงทุน)



โดย Theme การลงทุนหลัก เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และกลุ่มที่มีปัจจัยเฉพาะตัวที่กำไรมีโอกาส Turnaround


Theme การลงทุน
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุน(EPS Growth)
กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
Commerce (+22%) / Finance (+14%)
กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
Hotel (+52%) / Transportation (+141%) / Commercial Property (+13%)
กลุ่มที่กำไรมีโอกาส Turnaround จากปัจจัยเฉพาะตัว
Electronics (+21%)



สิ่งที่ผู้ลงทุนควรติดตาม เพื่อตัดสินใจ

สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องถือกองทุน KTFT6 ต่อ หลังครบระยะเวลา 6 เดือน (กรณีราคากองทุนยังไม่ถึงเป้าหมาย) และให้ติดตาม 2 สิ่งต่อไปนี้ เพื่อใช้ประกอบการตัดสิน ถือต่อหรือขายคืน


1.การประกาศใช้พรบ.งบประมาณ โดยคาดว่าประกาศใช้เดือน เม.ย. 67 เป็นช่วงที่ผู้ลงทุนสามารถกลับมาพิจารณาราคากองทุนอีกครั้ง ว่าปรับขึ้นแล้วหรือไม่ เพื่อพิจารณาตัดสินใจ ถือหรือขายคืนอีกครั้ง


2.SET Index หากปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 1,520 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านหลัก โดยผู้จัดการกองทุน มองว่าเป็นอีกจุดที่ควรเข้ามาพิจารณาราคากองทุน เพื่อตัดสินใจด้วยเช่นกัน




คำแนะนำ

แนะนำถือกองทุน KTFT6 ต่อเพื่อรอปัจจัยบวกที่น่าจะเริ่มเห็นผลช่วงไตรมาส 2 ซึ่งมีโอกาสช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย และราคากองทุน แล้วจึงพิจารณาขายคืน แต่หากกรณีไม่อยากถือต่อ เงินที่ขายคืนแนะนำให้ย้ายไปลงทุนในกองทุนแนะนำ ตามระดับความเสี่ยง

(ความเสี่ยงสูง) – กองหุ้นต่างประเทศ เช่น K-HIT-A, K-CHANGE-A(A), K-JPX-A(A)

(ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) - กองทุนผสม เช่น K-PLAN2, K-PLAN3, WP-BALANCED, WP-ULTIMATE


ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล
Back to top