ดอกเบี้ยอาจลดช้ากว่าคาด และความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ยังเป็นความท้าทายในการลงทุนปี 2567
ตลาดการลงทุนในปีที่ผ่านมา เป็นปีที่นักลงทุนเผชิญกับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง จากการที่ธนาคารกลางหลายประเทศต่างปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพร้อมๆ กัน รวมถึงปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งกดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และสะท้อนมาที่ผลตอบแทนในหลายสินทรัพย์ให้มีความผันผวนค่อนข้างสูง
สำหรับในปี 2567 ผลตอบแทนการลงทุนในหลายตลาดมีการปรับตัวดีขึ้น ทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ โดยเป็นปีที่นักลงทุนหลายฝ่ายหวังว่าอาจเห็นทิศทางการลดดอกเบี้ยลงได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แม้จะช้ากว่าที่คาดการณ์กันไว้บ้างหลังจากที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจทยอยออกมา โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ยังปรับขึ้นจาก 3.1% ในเดือนม.ค. เป็น 3.5% ในเดือนมี.ค. และนายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ส่งสัญญาณว่าอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาด รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันและกดดันภาพรวมการลงทุน
การกระจายการลงทุนยังเป็นกลยุทธ์ที่แนะนำในปีนี้
จากภาพที่ 1 จะเห็นได้ว่า ในปี 2566 นั้น การลงทุนในตราสารทุนของตลาดพัฒนาแล้ว (DM Equity) ให้ผลตอบแทนสูงถึง 24.4% ตามมาด้วยตราสารทุนของตลาดกำลังพัฒนาไม่รวมถึงเอเชีย (EM ex - Asia) 18.2% และตราสารหนี้ทั่วโลกที่เป็น High Yield หรือ Non-Investment Grade 13.5% อย่างไรก็ตามการลงทุนแบบกระจายไปในหลายสินทรัพย์ (Diversified) ก็ให้ผลตอบแทนที่ดี 7.8%
ภาพที่ 1: อัตราผลตอบแทนในแต่ละสินทรัพย์ย้อนหลัง
ที่มา: J.P. Morgan Asset Management ณ 14 มี.ค. 2567
ข้อสังเกตหนึ่ง คือ การลงทุนที่มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ (Diversified) จะให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอรวมถึงทำให้พอร์ตการลงทุนมีความผันผวนค่อนข้างต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนแค่สินทรัพย์เดียว และในบางปีอย่างปี 2022 ที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย การลงทุนแบบ Diversified ยังทำให้พอร์ตการลงทุนของเรามีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นไม่ว่าในสถานการณ์ใดการกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ที่ไม่ต้องมาคาดการณ์ล่วงหน้าว่าสินทรัพย์ใดจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงเวลานั้น ยังเป็นกลยุทธ์คลาสสิคที่จะนำมาปรับใช้ได้เสมอ ซึ่งการลงทุนผ่านกองทุนรวมผสมที่มีผู้จัดการกองทุนคอยจัดการบริหารสินทรัพย์ที่หลากหลายให้แก่พวกเรานักลงทุนก็เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ดีเลยทีเดียว
กองทุนผสมที่รับประกันเงินต้น* K-Guaranteed Step-Up A
กองทุนผสมที่ K Wealth แนะนำมาตลอดอย่าง K WealthPLUS Series เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ตอบโจทย์การลงทุนแบบกระจายในหลายสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนหลายท่านที่ยังลังเลว่าจะลงทุนดีไหมหรือยังมีความกังวลว่าลงทุนแล้วเงินต้นจะหายหรือเปล่า วันนี้ K Wealth อยากแนะนำกองทุนผสมที่รับประกันเงินต้น* อย่าง K-Guaranteed Step-Up A มาให้รู้จักกัน
1. เป็นกองทุนรวมผสมต่างประเทศที่มีการรับประกันราคา และมีกลไก Step-up
K-Guaranteed Step-Up A เป็นกองทุนรวมผสมต่างประเทศที่กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์และหลายประเทศ และมีการรับประกันราคารับซื้อคืนเมื่อครบอายุโครงการ 4 ปี 9 เดือน โดยจะรับซื้อคืนที่ราคาไม่ต่ำกว่า 10 บาทต่อหน่วย
ที่น่าสนใจขึ้นไปอีก คือ ราคาประกันนี้สามารถปรับขึ้นได้ เพราะมีกลไก Step-up ของการรับประกัน ในกรณีที่ทางกองทุนสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้นทุกๆ 5% ราคารับประกันก็เพิ่มขึ้นตาม 2.5% ด้วยเช่นกัน เพื่อให้เห็นภาพ ไปดูตัวอย่างกัน
สมมติว่า จากราคาที่ซื้อตอนแรกที่ 10 บาท ระหว่างทางราคาปรับเพิ่มขึ้นไปที่ 10.50 บาท ราคาที่รับประกันจะเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่งเป็น 10.25 บาท พอเวลาผ่านไป ราคามีการปรับขึ้นอีกจาก 10.50 บาท เป็น 11 บาท ราคาที่รับประกันก็จะขยับขึ้นไปอีกจาก 10.25 บาท เป็น 10.50 บาท
และจะเป็นลักษณะนี้ไปเรื่อย เสมือนว่านักลงทุนสามารถล็อกผลตอบแทนในระหว่างการลงทุนช่วงที่ตลาดขาขึ้น ในทางกลับกัน หลังจากที่ราคาขึ้นไปแล้ว ถ้าเกิดมีความผันผวน ทำให้ตลาดปรับตัวลง นักลงทุนก็สบายใจได้ว่าจะสามารถขายคืนได้ตามราคาที่ได้รับประกันไว้เมื่อถือจนครบอายุโครงการที่ 4 ปี 9 เดือนนั่นเอง
2. สภาพคล่องสูง สามารถขายคืนได้ทุกวัน
นอกจากมีการรับประกันเงินต้น* เมื่อถือจนครบอายุโครงการและมีกลไก Step-up ตามตัวอย่างข้างบนแล้ว คำถามที่ตามมาคือ ถ้าระหว่างทาง พอใจกับผลตอบแทน หรือ มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน แล้วอยากขายคืนก่อนครบอายุได้ไหม? คำตอบคือ สามารถขายคืนได้ทุกวัน โดยจะขายได้ตามราคาของวันนั้นๆ ตัวอย่างเช่น
กรณี A ราคา NAV ปรับขึ้นไปที่ 10.30 บาท ถ้าเราพอใจ อยากขาย ก็จะขายได้ที่ราคา NAV 10.30 บาทเลย
กรณี B ถ้าราคา NAV ปรับขึ้นต่อเนื่องไปอยู่ที่ 11 บาท ณ จุดนี้ ถ้าอยากขายเพื่อทำกำไร ก็สามารถขายคืนได้ที่ราคา NAV 11 บาท (ส่วนราคารับประกันเงินต้น* ก็จะขยับขึ้นเป็น 10.50 บาท)
กรณี C ราคา NAV ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 9.75 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคา NAV ที่ได้ประกันเงินลงทุนไว้ที่ 10.50 บาท หากนักลงทุนต้องการขายคืนก่อนครบอายุโครงการก็จะได้ในราคา 9.75 บาท และทำให้นักลงทุนมีผลขาดทุนได้
กรณี E เมื่อครบกำหนด 4 ปี 9 เดือน ราคา NAV อยู่ที่ระดับ 10.80 บาท นักลงทุนก็ยังได้เงินคืนที่ 10.80 บาทถึงแม้ว่าราคาที่ได้รับประกันเงินต้น* ไว้ที่ 10.50 บาทก็ตาม
กรณี F เมื่อครบกำหนด 4 ปี 9 เดือน ราคา NAV ปรับลดลงมาที่ 10 บาท ซึ่งอยู่ต่ำกว่าราคา NAV ที่ประกันเงินต้น* ไว้ 10.50 บาท นักลงทุนจะได้รับเงินลงทุนคืนที่ 10.50 บาทเป็นผลจากการที่ราคารับประกันเงินต้น* มีการปรับขึ้นนั่นเอง
3. บริหารจัดการกองทุนโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลกอย่าง Amundi
จากเรื่องราคาที่เล่าไปแล้ว กองทุนนี้ยังมีผู้บริหารจัดการกองทุนระดับโลกที่ติดอันดับ Top 15 บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และอันดับ 1 ของยุโรปในด้านการทำ structured product อย่าง Amundi Asset Management มาช่วยบริหารพอร์ตการลงทุน โดยเน้นการลงทุนแบบยืดหยุ่น ปรับพอร์ตไปตามสภาวะตลาดในช่วงเวลานั้นๆ มีการกระจายการลงทุนไปในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ที่น่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มที่ธนาคารกลางทั่วโลกเตรียมลดอัตราดอกเบี้ย และกระจายบางส่วนไปยังตราสารทุนเพื่อเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
และมี Credit Agricole มาเป็นผู้รับประกันเงินลงทุนของกองทุน (หรือที่เรียกว่า Guarantor) โดย Credit Agricole นั้นเป็นธนาคาร สัญชาติฝรั่งเศสจดทะเบียนในตลาด Euronext Paris มีมูลค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านยูโร (ที่มา Yahoo Finance 10 เม.ย. 2567) และยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ International Rating ระดับ A+ (โดย Fitch และ S&P Global) เมื่อเปรียบเทีบกับอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยที่จัดอยู่ในระดับ BBB+ ก็จัดได้ว่ามีความมั่นคงอย่างมากและเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ
4. ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนที่ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ลงทุน

ในสถานการณ์ปกติ (Base Case) กองทุนมีการเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 70-80% ซึ่งจะได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนทั้งพันธบัตรรัฐบาลรวมถึงหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง ในส่วนที่เหลืออีก 10-20% กองทุนจะกระจายการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศเพื่อเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม
โดยหากเราลองไปดูการลงทุนในตราสารหนี้ 85% และอีก 15% ลงทุนในตราสารทุน ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 3.09% ต่อปี
**
**Source: Bloomberg. ผลตอบแทนช่วง 2004-2023 โดยใช้ดัชนี MSCI World Index สำหรับหุ้นโลก และ ดัชนี Bloomberg Global-Aggregate Index) สำหรับตราสารหนี้โลก
มาถึงตรงนี้ นักลงทุนที่มองหาการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเติบโตงอกเงยแต่ยังกังวลอยากจะรักษาเงินต้นเอาไว้ หรือต้องการสภาพคล่องในเวลาเดียวกัน กองทุน K-Guaranteed Step-Up A เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในตอนนี้ ทั้งนี้กองทุนเปิด K-Guarantee Step-Up A เสนอขายเพียงครั้งเดียว ช่วง IPO วันที่ 20-28 พฤษภาคม 67 เท่านั้น สนใจลงทุนขอรับข้อมูลเพิ่มเติม / หนังสือชี้ชวนติดต่อได้ที่ บลจ.กสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา และตัวแทนสนับสนุนการขายสอบถามข้อมูลเพิ่เติม KAsset Contact Center กรุณาติดต่อ (02-8888888 กด 806)
*การรับประกันเงินต้นไม่รวมค่าธรรมเนียม front end fee และถือหน่วยลงทุนครบกำหนดอายุกองทุนประมาณ 4 ปี 9 เดือน