ได้เวลาลงทุนในตราสารหนี้โลกแล้วหรือยัง
หลายคนคงเฝ้าติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในเดือนมิถุนายนนี้ ว่าจะมีการส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อไหร่ รวมถึงธนาคารกลางของยุโรป (ECB) ที่เพิ่งได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยไป 0.25% ตามที่ได้คาดไว้เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมาซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตามในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Treasury Yield) ที่ยังอยู่ในระดับสูงในรอบ 17 ปี ทำให้ปีนี้เป็นโอกาสทองของการลงทุนในตราสารหนี้เลยทีเดียว
นอกจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Treasury Yield) ที่อยู่ในระดับสูงแล้วยังมีอีก 3 ปัจจัยที่ทำให้การลงทุนตราสารหนี้โลกนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น 1. (ภาพที่1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งโดยล่าสุดได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ในไตรมาส 1/2567 ขยายตัวอยู่ที่ 1.6% ถึงแม้ว่าจะต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่โดยรวมแล้วยังฟื้นตัวได้ดีกว่าในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed country) 2. (ภาพที่2) อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงเข้าใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2% อย่างเงินเฟ้อโซนยุโรปที่ปรับตัวลงต่ำกว่ำระดับ 3% เป็นเวลา 7 เดือนติดต่อกัน ส่วนเงินเฟ้อสหรัฐถึงแม้ว่ายังอยู่ที่ระดับสูงกว่า 3% แต่ก็มีแนวโน้มปรับตัวลงอย่างชัดเจนเช่นกัน 3. (ภาพที่3) แนวโน้มที่ธนาคารกลางทั่วโลกจะทะยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีความเป็นไปได้สูงในปีนี้หลังจาก ECB ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 4.0% สู่ 3.75% ไปแล้วนั้นในการประชุมวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในส่วนของ Fed นั้นคาดว่าจะมีปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายนนี้
ไม่ให้พลาดโอกาสทองลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศทั้งกองทุน K-GB-A(D) และ UGIS-N
โดยปัจจัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น K Wealth พิจารณาแล้วว่าการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกเพิ่มเติมในพอร์ตการลงทุนเพื่อให้ความผันผวนของพอร์ตโดยรวมลดลง ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้อีกด้วย ยิ่งในสภาวะของเศรษฐกิจทั่วโลกยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวแล้วนั้น ดัชนีตลาดหุ้นในหลายประเทศที่ปรับตัวขึ้นมาได้อย่างร้อนแรงตั้งแต่ต้นปีอาจจะมีการพักฐานได้บ้างในระยะสั้นนี้ ทั้งนี้ K Wealth ขอแนะนำลงทุนทั้งกองทุนเปิดเค โกลบอล บอนด์ (K-GB-A) และกองทุน ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ (UGIS-N) เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ครอบคลุมตราสารหนี้ทั่วโลก
จุดเด่นของทั้งกองทุน (K-GB-A) และ (UGIS-N)
• กองทุนเปิดเค โกลบอล บอนด์ (K-GB-A) ที่เน้นลงทุนพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้คุณภาพสูงที่ได้อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ Investment Grade ทั่วโลก บริหารการลงทุนโดย JPMorgan Aggregate Fund ซึ่งปัจจุบันพอร์ตการลงทุนมีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Average Duration) ที่ค่อนข้างยาวเพื่อจะได้ประโยชน์จากการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้น
• กองทุน ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ (UGIS-N) ที่เน้นลงทุนในสหรัฐฯ โดยมีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภท เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงอย่างสม่ำเสมอให้แก่นักลงทุนในระหว่างที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูงในรอบ 16 ปี บริหารจัดการลงทุนโดย PIMCO Income Fund ที่ได้ชื่อว่า เป็นเจ้าพ่อกองทุนตราสารหนี้โลกเลยทีเดียว
เจาะลึกกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศทั้ง (K-GB-A) และ (UGIS-N)

ภาพที่ 4 : ตารางเปรียบเทียบกองทุน K-GB และ UGIS (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 67)
จากตารางเปรียบเทียบรายละเอียดของกองทุน K-GB และ UGIS (ภาพที่ 4) จะเห็นได้ว่าเมื่อมีการลงทุนทั้งสองกองทุนไปด้วยกันจะสามารถกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ครอบคลุมทั่วโลกและทุกสินทรัพย์ย่อยของตราสารหนี้ วันนี้ K Wealth อยากแนะนำทั้งสองกองทุนให้นักลงทุนเข้าใจอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
1. สัดส่วนการลงทุนในแต่ละภูมิภาคที่ต่างกัน
กองทุน K-GB มีการกระจายลงทุนใน สหรัฐฯ ประมาณ 43% และในยุโรปประมาณ 22% ที่จะได้ประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยทั้ง Fed และ ECB กองทุน UGIS ที่เน้นลงทุนในสหรัฐฯ ที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงและจะได้ประโยชน์จาก Fed ที่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในปีนี้แบบเต็มๆ โดยมีสัดส่วนถึง 94% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 67)
2. อายุเฉลี่ยของตราสารในพอร์ต (Average Portfolio Duration) ที่จะส่งผลต่อราคาตราสารหนี้ในอนาคต
กองทุน K-GB มีอายุเฉลี่ยของตราสารที่ยาวกว่าอยู่ที่ประมาณ 5.8 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาตราสารหนี้ในพอร์ตเมื่อมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
กองทุน UGIS ที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารประมาณ 4.3 ปี ที่จะทำให้พอร์ตมีความผันผวนน้อยกว่าในกรณี yield ในตลาดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
3. อัตราผลตอบแทนจนถึงวันครับกำหนดอายุของตราสาร (YTM) ที่น่าสนใจ
กองทุน K-GB คาดการณ์อัตราผลตอบแทนของตราสาร (YTM) ประมาณ 6.2% ต่อปีจากการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกูที่มีคุณภาพ
กองทุน UGIS คาดการณ์อัตราผลตอบแทนของตราสาร (YTM) ประมาณ 7.28% ต่อปีจากการลงทุนที่หลากหลาย โดยเฉพาะที่เน้นลงทุนในตราสารแปลงสินทรัพย์มาเป็นหลักทรัพย์ (Securitization) เช่น MBS หรือ ABS ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีอย่างสม่ำเสมอ
เรามาทำความรู้จักเพิ่มเติมในกองทุน ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ (UGIS-N) ไปพร้อมกัน
กองทุนยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ (UGIS-N) มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน PIMCO GIS Income Fund (กองทุนหลัก) โดย PIMCO นั้นเป็นบลจ. ระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารตราสารหนี้และได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อของวงการก็ว่าได้ กองทุน PIMCO GIS Income นั้นมีจุดประสงค์หลักเพื่อสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ บนความผันผวนที่ต่ำ หลายคนคงสงสัยว่าหน้าตาของสินทรัพย์ที่ PIMCO ไปลงทุนนั้นเป็นอย่างไร

ภาพที่ 5 : กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund (ที่มา PIMCO วันที่ 30 เม.ย. 67)
จากภาพที่ 5 จะเห็นว่าประเภทตราสารหนี้หลักๆ ที่กองไปลงทุนมีด้วยกัน 3 ส่วน โดยเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบสมดุลที่เป็นปรัชญาการลงทุนของ PIMCO GIS Income ซึ่งมุ่งสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจและรักษาเงินต้นไปพร้อมกัน โดยการจัดสรรเงินลงทุนมีวัตถุประสงค์ต่างๆ 3 ส่วนด้วยกัน นั่นก็คือ
1. (กราฟแท่งสีน้ำเงิน) ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และสินทรัพย์ที่รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันอย่าง Agency MBSนอกจากจะทำให้พอร์ตการลงทุนมีคุณภาพแล้วยังส่งผลให้กองทุนมีสภาพคล่องที่ดีอีกด้วย
2. (กราฟแท่งสีเขียว) ลงทุนในสินทรัพย์ประภท ABS, CMBS และ ตราสารหนี้ระดับ Investment Grade เพื่อให้พอร์ตการลงทุนที่มีคุณภาพและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
3. (กราฟแท่งสีแดง) ลงทุนสินทรัพย์ที่จะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในตราสารประเภท High Yield หรือ Emerging Market Bond
โดยในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีการทะยอยลดสัดส่วนตราสารหนี้ผลตอบแทนสูง (กราฟแท่งสีแดง) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการลงทุนที่มากขึ้น
ปรัชญาการลงทุนของ PIMCO GIS Income ที่แสดงให้เห็นผ่านผลการดำเนินงานของกองทุน
ภาพที่ 6 : ผลการดำเนินงานเปรียบเทียบกับดัชนีตราสารหนี้อื่น ภาพที่ 7 : ผลการดำเนินงานเปรียบเทียบกับตราสารอื่น
(ที่มา PIMCO วันที่ 30 เม.ย. 67)
(ภาพที่ 6) หากมองย้อนกลับไปในระยะเวลากว่า 10 ปีปรัชญาการลงทุนของกองทุนหลักพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนที่แข็งแกร่งโดยทำผลงานได้เหนือกว่าดัชนีตราสารหนี้ประเภทอื่น นอกจากนี้ (ภาพที่ 7) กองทุนหลักยังสร้างผลตอบแทนได้ดีอย่างสม่ำเสมอและใกล้เคียงกับตราสารหนี้กลุ่ม High Yield ที่มีคุณภาพเครดิตต่ำกว่าอีกด้วย
เสริมความแข็งแกร่งด้วย กองทุนเปิดเค โกลบอล บอนด์ (K-GB-A)
กองทุนเปิดเค โกลบอล บอนด์ (K-GB-A) มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JPMorgan Funds -
Aggregate Bond Fund (กองทุนหลัก) ที่ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยเน้นตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ที่จะส่งผลให้พอร์ตลงทุนมีคุณภาพสูงเพื่อรองรับสภาวะที่เศรษฐกิจและตลาดยังอยู่ในช่วงของความไม่แน่นอนหรือผันผวนนั่นเอง เห็นได้จากการกระจายสัดส่วนการลงทุนเกือบครึ่งในสหรัฐฯ และในภูมิภาคอื่นทั่วโลก (ภาพที่ 8) เพื่อกระจายความเสี่ยง รวมถึงคุณภาพของตราสารที่ลงทุนอยู่ในระดับ Investment Grade โดยเฉพาะระดับ A ขึ้นไปกว่า 80% ของพอร์ตเลยทีเดียว

ภาพที่ 8 : Portfolio Allocation (ที่มา JPMorgan ณ วันที่ 30 เม.ย. 67)
K Wealth พิจารณาแล้วว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแบบแพคคู่ เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ไม่พลาดโอกาสทองในการลงทุนตราสารหนี้ในปีนี้ไปกับ กองทุนเปิดเค โกลบอล บอนด์ (K-GB-A) และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ (UGIS-N) ที่จะครอบคุมทุกสินทรัพย์ในตราสารหนี้และครบจบทุกภูมิภาคทั่วโลกได้
ทั้งนี้สำหรับนักลงทุนท่านใดที่เห็นโอกาสในการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศในกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ (UGIS) แล้วนั้นสามารถลงทุนได้แล้ววันนี้บนแอพพลิเคชั่น K + เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ธนาคารกสิกรไทยได้เปิดให้บริการด้านการลงทุน Open Architecture (OA) ให้แก่ลูกค้านักลงทุนสามารถทำการซื้อขายกองทุนกว่า 700 กองทุนจาก 14 บลจ. ชั้นนำนอกเหนือจาก บลจ. กสิกรไทยได้แล้ววันนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายและไม่พลาดโอกาสการลงทุน