24 ก.ค. 67 ดัชนี Nasdaq หนึ่งในดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่สะท้อนภาพรวมหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปรับตัวลง -3.64%เทียบกับวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวลงแรงสุดนับตั้งแต่ปี 65 สอดคล้องกับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 และ Dow Jones ที่ปรับตัวลง -2.31% และ -1.25% ตามลำดับ เช่นกัน
ทำไม Nasdaq ถึงติดลบ
ตลาดหุ้น NASDAQ ที่ปรับตัวลง 3.64% ณ 24 ก.ค. 67 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 65 หลังจากบริษัท Google และ Tesla ประกาศผลประกอบการ Q2/67 ออกมาน่าผิดหวัง โดย ณ 24 ก.ค. 67
• Google (Alphabet) ราคาปรับตัวลง 5% จากรายได้โฆษณาจากฝั่ง Youtube ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด แม้ว่ากำไรจะดีกว่าที่ตลาดเคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ก็ตาม โดยใน Q2/67 Google ยังถือว่ามีรายได้ที่แข็งแกร่งอยู่ แต่ใน Q3/67 คาดว่ากำไรจะถูกกดดัน จากค่าใช้จ่ายที่มาจากการลงทุนใน AI (ซึ่งจะบันทึกเป็น Depreciation Expense หรือค่าใช้จ่าย) และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นนี้
• Tesla ราคาปรับตัวลงแรงถึง 12.3% จากผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และรายได้ทางฝั่งยานยนต์ที่ปรับลดลงถึง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
• ส่วนบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น NVIDIA, META และ MSFT ราคาหุ้นก็ปรับตัวลดลง 6.8%, 5.6% และ 3.6% ตามลำดับเช่นกัน
มุมมองการลงทุน
ที่ผ่านมา ความคาดหวังในด้านกำไรและราคาได้สะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นที่เกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ และ AI ค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งนักลงทุนเอก็จับตาว่าบริษัทที่มีการลงทุนในด้าน AI ไปแล้ว จะเริ่มมีรายได้เข้ามาเมื่อไร ซึ่งหากพิจารณาจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จะเห็นว่ายังไม่ได้มีรายได้ที่ชัดเจนจากการลงทุน AI อีกทั้งถือเป็นเรื่องปกติที่หุ้นเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นมามากจะถูกเทขายทำกำไรได้บ้าง โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังที่อาจยังมีความผันผวนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วย
K WEALTH ยังมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนหุ้นเทคโนโลยี มองว่ายังคงเป็นบริษัทที่มีกำไรเติบโตได้มากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น และหากมองว่า Fed มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้กับกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งหากมีการเทขายและ Valuation มีการปรับตัวลงมา ถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมในระยะยาวได้ หากยังมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ หรือหุ้นเทคโนโลยี น้อยกว่า 30%ของเงินลงทุนรวม
คำแนะนำการลงทุน
สำหรับผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น กองทุน K-US500X K-USA-A(A) K-USXNDQ-A(A) ฯลฯ หรือกองทุนหุ้นเทคโนโลยี เช่น K-GTECH ฯลฯ
• สำหรับผู้ที่ถือลงทุนน้อยกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด
o หากยังขาดทุน ยังแนะนำให้ถือต่อได้ และยังทยอยลงทุนเพิ่มได้ เช่น ตอนที่ตลาดปรับตัวลงในช่วงนี้
o หากมีกำไร สามารถพิจารณาขายส่วนที่กำไรได้
• สำหรับผู้ที่ถือลงทุนเกิน 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำพิจารณาหาโอกาสขายเพื่อลดสัดส่วนให้เหลือน้อยกว่า 30%ของเงินลงทุนรวม
โดยเงินที่ได้จากการขายคืน แนะนำนำไปลงทุนต่อในกองทุนแนะนำของ K WEALTH เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุน เช่น K-EUROPE-A(D) K-VIETNAM K-GHEALTH
สำหรับผู้ที่กังวลกับความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดหุ้นบางประเทศ หรือบางสินทรัพย์ แนะนำลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและมีผู้จัดการกองทุนในการพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม เช่น K-WPULTIMATE K-WPBALANCED
ขอบคุณข้อมูลจาก KAsset
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”