วันที่ 14 ส.ค. ตลาดหุ้นไทยหรือ SET Index มีการปรับตัวลง -0.39%เทียบกับวันก่อนหน้า โดยระหว่างวันมีการปรับตัวลงลึกที่สุดที่ 1,281.05 จุด ในเวลาประมาณ 15.30 น. หรือ -1.50%เทียบกับดัชนีตอนเปิดตลาดของวัน นำโดยหุ้นกลุ่ม Domestic play จากความกังวลเรื่องนโยบาย Digital wallet ที่เป็นนโยบายเด่นของรัฐบาลชุดปัจจุบัน หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดความเป็นายกรัฐมนตรี และส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะด้วย
สำหรับคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง ยังคงทำหน้าที่เป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการต่อไปได้ ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น รองนายกฯ คนที่ 1 จะทำหน้าที่เป็นนายกฯ รักษาการแทน จนกว่าจะมีการเลือกนายกฯ ใหม่เสร็จสิ้น โดยในช่วงเย็นของวันที่ 14 ส.ค. ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้มีคำสั่งนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค. แล้ว ซึ่งหากสามารถเลือกนายกฯ คนใหม่ได้เร็ว และยังมาจากพรรคการเมืองเดิม คาดว่าผลกระทบเชิงลบจะจำกัดเนื่องจากนโยบายและมาตรการต่างๆ จะยังมีความต่อเนื่อง หุ้นไทยจะปรับลงในระยะสั้นและฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้
ประเด็นที่ต้องติดตาม
• ติดตามการเลือกนายกฯ ใหม่ ว่าใช้เวลานานเพียงใด และมาจากพรรคการเมืองเดิมหรือไม่ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อนโยบายและมาตรการต่างๆ เช่น โครงการ Digital Wallet
• หากมีการยุบสภา อาจทำให้หุ้นไทยปรับลงอีก เงินบาทอ่อนค่า และ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2568 จะมีความล่าช้า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น บล.กสิกรไทย (KS) ประเมินว่า SET Index อาจลงไปต่ำกว่า 1255 จุด (ประมาณ -2% จาก SET Index ณ 14 ส.ค.)
มุมมองการลงทุน
ในระยะสั้นภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยใหม่มาสนับสนุน ตลาดยังคงรอมาตรการกระตุ้นทั้งจากมาตรการการเงินและการคลัง อีกทั้งความผันผวนจากในเรื่องของการเมืองในประเทศช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศต่อตลาดหุ้นไทยลดลง ประกอบกับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS) ยังไม่มีแนวโน้มที่จะถูกปรับเพิ่มด้วย โดย บล.กสิกรไทย (KS) ประเมินแนวรับของ SET Index ไว้ที่บริเวณ 1,255-1,280 จุด (ประมาณ 0.08% - 2% จาก SET Index ณ 14 ส.ค.)
คำแนะนำการลงทุน
K WEALTH มีมุมมองการลงทุนเป็นกลาง ต่อตลาดหุ้นไทยและกองทุนหุ้นไทย เช่น กองทุน K-STAR, K-EQUITY, K-VALUE, K-SET50 เป็นต้น
• สำหรับผู้ที่ถือลงทุนกองทุนหุ้นไทย น้อยกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด
o หากมีกำไร สามารถพิจารณาขายส่วนที่กำไรได้
o แต่หากยังขาดทุน ก็ยังคงสามารถถือต่อได้อยู่ เพื่อรอให้ราคาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง
• สำหรับผู้ที่ถือลงทุนกองทุนหุ้นไทยเกิน 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำพิจารณาหาโอกาสขายเพื่อลดสัดส่วนให้เหลือน้อยกว่า 30%ของเงินลงทุนรวม
• สำหรับผู้ที่ถือกองทุนลดหย่อนภาษี ที่มีเงื่อนไขเน้นลงทุนหุ้นไทย เช่น
o กองทุน LTF ยังคงสามารถถือลงทุนต่อได้ โดยหากเป็นเงินที่ลงทุนกองทุน LTF ในปี 62 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการใช้สิทธิทางภาษี จะครบเงื่อนไขการลงทุนต้นเดือน ม.ค. 68 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นหากกองทุนมีกำไรก็สามารถขายเพื่อนำเงินไปลงทุนกองทุนแนะนำอื่นของ K WEALTH ได้
o กองทุน Thai ESG ของ บลจ.ต่างๆ ที่ส่วนใหญ่เน้นลงทุนในหุ้นไทย ก็ยังคงสามารถถือลงทุนต่อได้ เพื่อคาดหวังผลตอบแทนระยะยาว 8 ปี หรือ 5 ปี ตามเงื่อนไขการลงทุน
สำหรับเงินที่ได้จากการขายคืน ไม่ว่าจะเป็นการขายทำกำไรหรือขายเพื่อลดสัดส่วนกองทุนหุ้นไทย รวมไปถึงกรณีมีเงินใหม่ที่ต้องการลงทุนเพิ่มในกองทุนหุ้น แนะนำให้นำเงินดังกล่าวไปลงทุนในกองทุนของแนะนำของ K WEALTH เช่น K-VIETNAM, K-GSELECT เป็นต้น
สำหรับผู้ที่กังวลกับความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดหุ้นบางประเทศ หรือบางสินทรัพย์ แนะนำลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและมีผู้จัดการกองทุนในการพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม เช่น K-WPULTIMATE K-WPBALANCED
*ตัวอย่าง T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์)
ขอบคุณข้อมูลจาก: KBank Private Banking, KSecurities
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”