Fed ลดดอกเบี้ย 0.50% พร้อมเพิ่มประมาณการอัตราว่างงาน
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% มาที่ระดับ 4.75-5.00% นับเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปี 2563 เนื่องจากตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจน ในการประชุมครั้งนี้มีการเปิดเผยมุมมองอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการผ่าน Dot Plot ชี้ว่า Fed มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในปีนี้ และลดอีก 1.00% ในปี 2568
นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจโดยคณะกรรมการได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการว่างงานปี 2567 จาก 4.0% ไปที่ 4.4% และปี 2568 จาก 4.2% ไปที่ 4.4% ปรับลดตัวเลข GDP ปี 2567 จาก 2.1% มาที่ 2.0% และคงประมาณการปี 2568 ไว้ที่ 2.0% และปรับลดประมาณการดัชนี PCE ปี 2567 มาที่ 2.3% จากเดิมที่ 2.6% และปี 2568 มาที่ 2.1% จากเดิมที่ 2.3% เช่นเดียวกับดัชนี Core PCE ปี 2567 มาที่ 2.6% จากเดิมที่ 2.8% และปี 2568 มาที่ 2.2% จากเดิมที่ 2.3%
Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มการแถลงข่าวว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการปรับสมดุลนโยบายการเงินใหม่ และไม่ยืนยันว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วยระดับเดียวกันนี้ในการประชุมครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังเผยว่า Fed จะทำสร้างเสถียรภาพระดับราคาโดยไม่กระทบกับตลาดแรงงาน นั่นคือเป้าหมาย โดยเน้นว่าการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการแสดงความมุ่งมั่นของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการบรรลุเป้าหมายต่อทั้งการสร้างเสถียรราคาและสภาพเศรษฐกิจ (Dual Mandate)
ดัชนีที่เกี่ยวข้อง
• Dow Jones -0.25% (18 Sep)
• S&P500 -0.29% (18 Sep)
• Nasdaq -0.31% (18 Sep
มุมมองการลงทุน
เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่มากกว่าคาดการณ์ แต่จากสถิติชี้ชัดว่าการปรับนโยบายการเงินจะมีผลต่อเศรษฐกิจในอีก 18-24 เดือนถัดมา ดังนั้นจึงมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้อาจไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะในทันที และมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัวต่อ ซึ่งตอกย้ำผ่านการปรับเพิ่มประมาณการอัตราการว่างงานและลดการเติบโตของ GDP ทั้งในปี 2567 และปี 2568
K WEALTH มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มชะลอตัว และธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก และเมื่อประกอบกับมูลค่าตลาดหุ้นโดยรวมที่มี Upside ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีด้วยกระแสความนิยม AI และความคาดหวังที่ค่อนข้างสูง จึงมีมุมมอง Slight Positive ต่อหุ้นกลุ่ม Defensive
ส่งให้ K WEALTH ยังคงแนะนำลงทุนในกลุ่ม Healthcare และ Infrastructure ซึ่งมีมูลค่าเหมาะสม รูปแบบธุรกิจพร้อมรับกับความผันผวนของเศรษฐกิจ และได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
โดยมีคำแนะนำในกองทุนแนะนำ มีดังนี้
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น Medtech, Biotechnology
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
o หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้
• หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
o กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
o กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg, CNBC
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
*กองทุน K-GHEALTH, K-VIETNAM และ K-GINFRA มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
**กองทุน K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS, K-SF-A, K-SFPLUS และ K-GOLD มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด