การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก สถานการณ์การเมืองในครั้งนี้ถือว่ามีความซับซ้อนมากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือ ผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังนั้น การวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้จึงต้องพิจารณาทั้งปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ
อัปเดตการดีเบตระหว่าง Trump กับ Harris
Kamala Harris กับ Donald Trump ได้มีการดีเบตกันครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กันยายน โดยการดีเบตในครั้งนี้เน้นไปที่ประเด็นเศรษฐกิจ การสร้างงาน และการรับมือกับวิกฤตต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยฝ่าย Harris เน้นเรื่องการสร้าง "โอกาสทางเศรษฐกิจ" (Opportunity Economy) ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนครอบครัวชนชั้นกลาง ขณะที่ Trump ให้ความสำคัญกับการลดภาษีและการสร้างงานในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของจีน
แผนภาพที่ 1 : โพลสำรวจจาก FiveThirtyEight
หลังจากดีเบตจบทาง Harris มีคะแนน Trump เล็กน้อย ตามแผนภาพที่ 1 จากการสำรวจของ FiveThirtyEight ณ วันที่ 12 กันยายน 2024 ตามแผนภาพที่ 1 Harris ยังคงมีคะแนนนำ Trump อยู่ที่ 48.5% ขณะที่ Trump มีคะแนน 45.7% ความต่างนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงผลได้ในนาทีสุดท้าย โดยเฉพาะใน Swing State เช่น มิชิแกน เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน ซึ่ง Harris มีคะแนนนำเพียงเล็กน้อย รวมถึงในช่วงปัจจุบันจนถึงวันเลือกตั้งยังมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมีโอกาสเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายโดยปัจจัยที่ต้องติดตามมีดังนี้
• การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ: ตัวเลขการว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงก่อนการเลือกตั้งจะส่งผลกระทบต่อความนิยมของผู้สมัคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐแกว่งที่มีประชาชนยังไม่มีการตัดสินใจที่แน่นอน
• การเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่างประเทศ: เหตุการณ์สำคัญ เช่น ความขัดแย้งในยูเครนหรือการเจรจาด้านการค้ากับจีน หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของผู้สมัครได้
• ความมั่นคงภายในประเทศ: นโยบายด้านความมั่นคงและการควบคุมการอพยพก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะส่งผลต่อคะแนนนิยมได้ โดยเฉพาะในรัฐที่มีปัญหาการอพยพสูง
เลือกลงทุนในกองทุนอย่างไรให้เหมาะกับผลการเลือกตั้ง
ยิ่งใกล้เลือกตั้งเข้ามาทุกทีคงมีนักลงทุนบางส่วนอยากจะทราบว่าหากฝั่งไหนชนะหรือหากใครได้เป็นประธานาธิบดีหุ้นกลุ่มไหนจะได้ประโยชน์ ถึงแม้ทาง K-Wealth จะคิดว่ายากที่จะคาดเดาผลการเลือกตั้ง ณ เวลาปัจจุบันแต่ทางเราได้ลองวิเคราะห์มาให้นักลงทุนได้ดูกันว่าในกรณีผลการเลือกตั้งออกมาตามรูปแบบต่างๆหุ้นกลุ่มไหนจะได้ประโยชน์บ้าง
ผลการเลือกตั้งและกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์แบ่งออกได้เป็น 4 กรณีหลักดังนี้:
1. Democrat Sweep (พรรคเดโมแครตครองทั้งประธานาธิบดีและสภา)
หากพรรคเดโมแครตชนะทั้งตำแหน่งประธานาธิบดี วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร นโยบายจะมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การขับเคลื่อนพลังงานสะอาด และการเพิ่มงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมและสุขภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อการสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนในระยะยาว โดยในกรณีนี้มีกลุ่มกองทุนที่ได้ประโยชน์ดังนี้
กองทุนหุ้นเทคโนโลยี : การลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีจะได้รับประโยชน์โดยตรง เนื่องจากมีแนวโน้มว่านโยบายการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็นหนึ่งในแกนนำของการพัฒนาเศรษฐกิจ
กองทุนหุ้นพลังงานสะอาด : เนื่องจากพรรคเดโมแครตมุ่งเน้นการพัฒนาและสนับสนุนพลังงานสะอาด เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ กองทุนในกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนและมาตรการกระตุ้น
2. Republican Sweep (พรรครีพับลิกันครองทั้งประธานาธิบดีและสภา)
หากพรรครีพับลิกันสามารถชนะทั้งทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร นโยบายจะมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น การขุดเจาะน้ำมัน การขนส่งก๊าซธรรมชาติ และการผลิตในประเทศ การลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนจะเป็นจุดเด่นของนโยบายเศรษฐกิจในกรณีนี้ โดยในกรณีนี้มีกลุ่มกองทุนที่ได้ประโยชน์ดังนี้
กองทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน : นโยบายของพรรครีพับลิกันจะสนับสนุนการขุดเจาะและการผลิตพลังงาน ซึ่งจะช่วยผลักดันราคาพลังงานให้สูงขึ้นในระยะสั้นถึงกลาง
กองทุนหุ้นอุตสาหกรรม : กลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น การผลิต การก่อสร้าง และการขนส่ง จะได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากการลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบ
3. Divided Government (Harris ชนะ แต่สภาแบ่งแยก)
หาก Harris ชนะตำแหน่งประธานาธิบดี แต่พรรคเดโมแครตไม่สามารถครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภาได้ การผ่านนโยบายขนาดใหญ่จะเป็นไปได้ยาก ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางนโยบาย การกระตุ้นเศรษฐกิจและการเพิ่มงบประมาณด้านสวัสดิการจะถูกจำกัดมากขึ้น โดยในกรณีนี้มีกลุ่มกองทุนที่ได้ประโยชน์ดังนี้
กองทุนพันธบัตรรัฐบาล : พันธบัตรจะเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง
กองทุนทองคำ : ทองคำจะทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเมื่อความไม่แน่นอนในนโยบายการเงินและการคลังสูงขึ้น
4. Divided Government (Trump ชนะ แต่สภาแบ่งแยก)
หาก Trump ชนะ แต่สภาแบ่งแยก การออกกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดภาษีจะถูกขัดขวางจากพรรคเดโมแครต ซึ่งจะทำให้ความไม่แน่นอนด้านนโยบายสูงขึ้น และส่งผลลบต่อการลงทุนในระยะสั้น นโยบายของ Trump จะไม่สามารถส่งผ่านได้อย่างราบรื่นและทำให้เกิดความผันผวนในตลาด โดยในกรณีนี้มีกลุ่มกองทุนที่ได้ประโยชน์ดังนี้
กองทุนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค : หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคมีความปลอดภัยสูงและได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ : อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและสร้างรายได้ต่อเนื่องในภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูง
การจัดพอร์ตแนะนำในปัจจุบัน
การจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ควรพิจารณาทั้งสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยการเลือกตั้ง โดยเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะในยุโรปและจีน แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงแข็งแกร่ง แต่ก็เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวในภาคการบริโภค รวมถึงรายได้ที่ใช้จ่ายได้จริงลดลงและการเรียกร้องสิทธิว่างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทต่างๆ เริ่มลดการจ้างงาน ด้านการเลือกตั้ง นักลงทุนนิยมชะลอการลงทุนจนกว่าจะมีความชัดเจนของผลการเลือกตั้งเนื่องจากความไม่แน่นอนในนโยบาย การแข่งขันที่สูสีระหว่างผู้สมัครทั้งสองพรรคทำให้เกิดความกังวลต่อนโยบายใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ การจัดพอร์ตควรเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจชะลอตัวและไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร เช่น การสาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ และพลังงานสะอาด โดย K WEALTH แนะนำการลงทุนผ่านกองทุน K-GINFRA-A(D) และ K-GHEALTH ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่มั่นคง
สำหรับนักลงทุนที่อยากอ่านมุมมองการลงทุนรายเดือนฉบับเต็มพร้อมกองทุนแนะนำในแต่กลุ่มประเภทสินทรัพย์ ติดตามได้ “K Wealth Monthly View ”