ประเด็นร้อน: ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงแรง หลังได้นายกฯ คนใหม่

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงแรง หลังจากที่นาย Shigeru Ishiba ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น โดยนายกฯ ท่านใหม่ Shigeru Ishiba มีท่าทีต้องการให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป ไม่ต้องการเห็นค่าเงินเยนที่อ่อนค่ามากเกินไป

• เช้าวันนี้ 30 ก.ย. ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงแรง หลังจากที่นาย Shigeru Ishiba ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น โดยนายกฯ ท่านใหม่ Shigeru Ishiba มีท่าทีต้องการให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป ไม่ต้องการเห็นค่าเงินเยนที่อ่อนค่ามากเกินไป ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นต่อทิศทางของค่าเงินเยนที่น่าจะแข็งค่าขึ้นในอนาคต ส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มส่งออกที่เป็นสัดส่วนหลักของตลาดหุ้นญี่ปุ่น


• ทาง K WEALTH ยังคงมีมุมมอง Slightly Negative ต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มชะลอตัวลง นโยบายการเงินที่คาดว่าจะเข้มงวดขึ้นจาก BOJ และการปรับลดประมาณการกำไรในช่วงที่ผ่านมา เราจึงได้แนะนำให้ขายทำกำไรในตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมา





ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงแรง หลังมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีท่านใหม่

ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นได้ดี โดยดัชนี Nikkei 225 เพิ่มขึ้น 5.6% และดัชนี TOPIX เพิ่มขึ้น 3.7% ตอบรับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน จะไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยถ้ายังเห็นความผันผวนของตลาดการเงินอยู่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบริษัทส่งออกของญี่ปุ่น นอกจากนี้การประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา ยังช่วยหนุนหุ้นบริษัทญี่ปุ่นที่มีรายได้จากการส่งออกไปยังจีน


แต่ในเช้าวันนี้ 30 ก.ย. ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับปรับตัวร่วงแรง ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลง -4.7% และดัชนี TOPIX ร่วง -3.5%หลังจากที่นาย Shigeru Ishiba ได้รับชัยชนะเหนือ Sanae Takaichi ในการเลือกตั้งผู้นำพรรค LDP และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น โดยนายกฯ ท่านใหม่ Shigeru Ishiba มีท่าทีต้องการให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป ไม่ต้องการเห็นค่าเงินเยนที่อ่อนค่ามากเกินไป ซึ่งตรงข้ามกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตลาดคาดหวังจากคู่แข่งอย่าง Sanae Takaichi ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นต่อทิศทางของค่าเงินเยนที่น่าจะแข็งค่าขึ้นในอนาคต ส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มส่งออกที่เป็นสัดส่วนหลักของตลาดหุ้นญี่ปุ่น


มุมมองการลงทุน

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงจากตลาดผิดหวังหลังก่อนหน้านี้คาดว่านาย Sanae Takaichi จะชนะการเลือกตั้งผุ้นำพรรค LDP และนำไปสู่ดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจาก BOJ เรามองว่าเป็นเพียงแต่ปัจจัยที่ส่งผลในระยะสั้นจากความผิดหวังในการได้นายกท่านใหม่ อย่างไรก็ตามธนาคารกลางญี่ปุ่น BOJ นับเป็นหนึ่งในธนาคารกลางขนาดใหญ่โลก ดังนั้นจึงต้องมีการบริหารที่เป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง และจะต้องติดตามการแถลงและท่าทีของทาง BOJ ซึ่งจะกำหนดนโยบายโดยอ้างอิงจากสภาพเศรษฐกิจ


ทาง K WEALTH ยังคงมีมุมมอง Slightly Negative ต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากทิศทางนโยบายการเงินของ BoJ ที่คาดว่าจะเข้มงวดขึ้น ประกอบกับมีการปรับลดประมาณการกำไรในช่วงที่ผ่านมา เราจึงได้แนะนำให้ขายทำกำไรในตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วงนี้ และแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่ม Healthcare และ Infrastructure ที่มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว



กองทุนกลุ่ม Luxury Brand ปรับตัวบวกได้ดี รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน

นอกจากนี้ในสัปดาห์ที่แล้ว หุ้นกลุ่ม Luxury Brand ปรับตัวบวก เช่น LVMH บวก 19.2% KERING บวก 20.9% และ HERMES บวก 16.52% ส่งผลให้กองทุน Pictet Premium Brands ที่เป็น Master Fund ของ KT-LUXURY ปรับตัวขึ้น 5.9% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีน ทั้งมาตรการทางการเงินผ่านการลดดอกเบี้ยและเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ รวมถึงมาตรการการคลังผ่านการแจกเงินก่อนช่วงวันหยุดยาวของจีนในสัปดาห์นี้ เพื่อกระตุ้นการบริโภค


มุมมองการลงทุน

การประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจะช่วยหนุนตลาดหุ้นกลุ่ม Luxury ในระยะสั้น แต่ตลาดยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว เนื่องจากตลาดฝั่งจีนเป็นเป็นผู้บริโภคหลักของกลุ่มสินค้า Luxury ดังนั้น Upside ระยะสั้นถึงกลางอาจมีจำกัด แต่ K WEALTH ยังมีมุมมอง Slightly Positive ในกองทุนนี้ โดยมีโอกาสเติบโตระยะยาวจากกระแสนิยมสินค้า Luxury และอาจรับแรงหนุนเพิ่มเติมหากเศรษฐกิจจีนทยอยฟื้นตัวจากการใช้มาตรการการกระตุ้นขนาดใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว



โดยมีคำแนะนำในกองทุนแนะนำ มีดังนี้

• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น MedTech, Biotechnology

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน


• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน

o หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่

 กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ

 กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้


• หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ

o กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน

o กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน



ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

*กองทุน K-GHEALTH, K-VIETNAM และ K-GINFRA มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

**กองทุน K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS, K-SF-A, K-SFPLUS และ K-GOLD มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH
Back to top