กองทุนผสมมีหลายรูปแบบ เดิมทีอาจมีเพียงกองทุนที่จัดสรรการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ โดยกำหนดสัดส่วนที่แน่นอน หรือกำหนดการลงทุนในรายประเทศที่ตายตัว ยกตัวอย่างเช่น กองทุนผสมที่ลงทุนในหุ้นไทย50% ตราสารหนี้50% ข้อดีของกองทุนผสมในรูปแบบดังกล่าว แน่นอนว่าทำให้เราทราบสัดส่วนการลงทุนที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามก็มีข้อจำกัดในแง่ของการลงทุน เช่นหากตลาดหุ้นไทยไม่เอื้ออำนวย กองทุนผสมในรูปแบบดังกล่าว อาจทำผลตอบแทนได้ไม่ดี แทนที่จะสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า
ปัจจุบันมีกองผสมที่เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนแบบ Multi-Asset ซึ่งจะจัดสรรการลงทุนไปในหลายสินทรัพย์ ทั้ง หุ้น ตราสารหนี้ และ สินทรัพย์ทางเลือก โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยช่วยบริหารและปรับสัดส่วนให้สอดคล้องกับสภาวะการลงทุนในช่วงเวลานั้นๆ จะเห็นได้ว่า กองทุนรวมผสมแบบ Multi-Asset เช่นนี้มีความยืดหยุ่นกว่าเดิมและมีกระจายการลงทุนที่มากขึ้น ดังนั้นจึงช่วยลดความผันผวนและช่วยให้พอร์ตการลงทุนของเราเติบโตได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจในระยะยาว
3 เหตุผลที่กองทุนผสมน่าคบกันไปยาวๆ
1 ). กองทุนผสมมีการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์อยู่แล้ว ให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้
แถมยังผันผวนน้อยกว่าหุ้น การซื้อขายบ่อยๆ ผิดวัตถุประสงค์ของกองทุนที่มีกระจายการลงทุนอยู่แล้ว ถ้าหากนักลงทุนมีสไตล์การลงทุนที่ชอบจับจังหวะเข้าออกบ่อยๆ อาจไม่เหมาะกับกองทุนผสม ที่มีเป้าหมายเพื่อการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว หรือนักลงทุนที่อยากได้ผลตอบแทนเพิ่มเติมสามารถทำกำไรระยะสั้น-กลางได้จากพอร์ต Satellite ตามคำแนะนำของ K WEALTH
พอร์ต60/40 ความผันผวนต่ำกว่าหุ้นแต่ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้
จากภาพการลงทุนในหุ้นแม้ให้ผลตอบแทนที่ดีโดยเฉลี่ยราว 13% ต่อปี แต่ก็แลกมาด้วยความผันผวน (S.D.) ที่สูงถึง 18% แต่หากลงทุนในตราสารหนี้ แม้ความผันผวน (S.D.) จะต่ำที่สุดเพียง 8% แต่ก็ได้ผลตอบแทนเพียง 1-2% ต่อปีเท่านั้น จะดีกว่าไหมหากลงทุนในกองทุนผสม ในที่นี้พอร์ต60/40 ได้ผลตอบแทนต่อปีสูงถึง 10% ในขณะที่ความผันผวนก็ลดลงเหลือ 12%
2.) ยิ่งลงทุนนาน ผลตอบแทนยิ่งผันผวนน้อยลง
ลงทุนปีแรกๆ อาจจะเจอราคาขึ้นๆ ลงๆ ได้บ้าง แต่ยิ่งลงทุนนานขึ้น ยกตัวอย่างการลงทุนในพอร์ตผสม เช่น ลงทุน 3 ปี ความผันผวนของผลตอบแทนลดลง โดยมีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนที่ -4.2-12.7% แต่ถ้าลงทุนนานได้ถึง 10 ปี ช่วยลดโอกาสที่ผลตอบแทนจะติดลบ โดยมีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนที่ 0.6-6.7%
ที่มา : Bloomberg as of Sep 2024
* หุ้น = MSCI World , ตราสารหนี้ = Bloomberg Global Agg Corporate USD TR Index , พอร์ตผสม 60/40 คือ หุ้น 60%+ ตราสารหนี้ 40%
3.) ซื้อขายบ่อยๆ ผลตอบแทนโดยรวมกลับน้อยกว่าลงทุนกันไปนานๆ
เพราะทุกครั้งที่ซื้อขาย จะมีค่าธรรมเนียม (ที่ไม่จำเป็น) และต้องคอยหาจังหวะกลับเข้ามาลงทุนใหม่ อาจเสียโอกาสจากการเข้าออกผิดจังหวะได้
นักลงทุน A ถือกองทุนผสมยาว 5 ปีจากเงินต้น 100,000 บาทโตมาเป็น 142,754 บาท คิดเป็นกำไร 42% นักลงทุน B ลงทุนด้วยเงินต้น 100,000 บาทเท่ากัน แต่ซื้อขายเข้าออกบ่อยๆทุกๆ 3 เดือน ผ่านไป 5 ปี เงินต้นโตมาเป็น 122,403 บาท คิดเป็นกำไรเพียง 22%
แต่ถ้าชอบจับจังวะ อยากลุ้นผลตอบแทนเพิ่มเติม มาดูกองทุนแนะนำอื่นๆ ในกลุ่ม Satellite ตามคำแนะนำของ K WEALTH
การลงทุนในรูปแบบ Core Sat ที่มี Balanced Fund เป็น Core port ดีอย่างไร
• ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม แต่ยังสามารถเพิ่มผลตอบแทนในระยะสั้น-กลางได้
• ช่วยให้บรรลุเป้าหมายผลตอบแทนในระยะยาว
• ช่วยให้เรามีวินัยในการลงทุน
• ช่วยกระจายความเสี่ยง
ดังนั้นการลงทุนในกองทุนผสมสามารถลงทุนได้ยาวๆ โดยสามารถใช้เป็น Core Port ทำให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลกับความผันผวนในระยะสั้น และมานั่งจับจังหวะลงทุนเอง แต่หากลงทุนในระยะเวลาที่นานพอและต่อเนื่อง ก็สามารถบรรลุเป้าหมายผลตอบแทนในระยะยาวได้ ทั้งนี้นักลงทุนยังสามารถหาผลตอบแทนเพิ่มเติมในระยะสั้น-กลางได้จาก Satellite Port ที่ทาง K WEALTH แนะนำ โดยปัจจุบันแนะนำให้ลงทุนใน Core Port ราว 70% และ Satellite 30%
คำแนะนำสำหรับ Core Port
K-WP-BALANCED : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ โดยกองทุนจะมีการลงทุนในหุ้น 15-45% และตราสารหนี้ 55-85%
K-WPSPEEDUP : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานลางค่อนข้างสูง โดยกองทุนจะมีการลงทุนในหุ้น 50-80% และตราสารหนี้ 20-50%
K-WPULTIMATE : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง โดยกองทุนจะมีการลงทุนในหุ้น 70-100% และตราสารหนี้ 0-30%
คำแนะนำสำหรับ Satellite Port
สำหรับ Satellite Port ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนระยะสั้น-ปานกลาง นักลงทุนสามารถติดตามคำแนะนำรายเดือนได้จาก K WEALTH Monthly View ประจำเดือน