กองทุนปันผลและไม่ปันผล เลือกแบบไหนเหมาะกับเรา

กองทุนมีปันผลกับไม่มีปันผล จะเลือกลงทุนแบบไหนดี คำตอบนี้อยู่ที่ความต้องการการลงทุนและเป้าหมายในการลงทุนแต่ละคน โดยส่วนมากหากนักลงทุนต้องการกระแสเงินสดระหว่างการลงทุนและมีเม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่การเลือกลงทุนแบบมีปันผลจะตอบโจทย์กว่า ส่วนนักลงทุนที่อายุยังน้อย

• กองทุนมีปันผล เหมาะกับ นักลงทุนต้องการกระแสเงินสดระหว่างการลงทุนและมีเม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่


• กองทุนไม่มีปันผล เหมาะกับ นักลงทุนที่ต้องการให้เงินลงทุนเติบโตถึงเป้าหมายการลงทุนเร็ว และไม่มีความต้องการกระแสเงินสดระหว่างทาง




สิ่งสำคัญในการลงทุนนอกจากการเลือกนโยบายการลงทุนที่สนใจแล้ว คำถามแรกๆ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักลังเล คือ จะเลือกลงทุนกองทุนที่มีปันผลหรือกองทุนที่ไม่ปันผลดีกว่ากัน ก่อนที่จะตัดสินใจว่าควรเลือกแบบไหนนั้น เรามาทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของการลงทุนทั้ง 2 แบบกันก่อนนะคะ



ลักษณะของกองทุนที่มีปันผลและไม่มีปันผล

กองทุนที่มีปันผล : กองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนของกองทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน โดยจะจ่ายเป็นเงินสดออกมาให้เราระหว่างทางที่ลงทุน เงินปันผลมากหรือน้อย รวมถึงจะได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและนโยบายของกองทุนนั้น


กองทุนที่ไม่มีปันผล : เป็นกองทุนที่จะไม่จ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนแต่จะสะสมมูลค่า และนำผลกำไรจากการลงทุนไปลงทุนต่อ ทำให้มูลค่าของกองทุนมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นกว่ากองทุนที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลหากลงทุนในสินทรัพย์ที่ใกล้เคียงกัน เปรียบเสมือนกับผลตอบแทนแบบดอกเบี้ยทบต้น (กรณีที่การลงทุนมีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง)



ความแตกต่างระหว่างกองทุนที่มีปันผลและไม่มีปันผล



กองทุนที่มีปันผล
กองทุนที่ไม่มีปันผล
ผลตอบแทน
มีกระแสเงินสดในรูปเงินปันผลระหว่างทางที่ลงทุน (ราคา Nav จะลดลงหลังกองทุนจ่ายเงินปันผล)
ส่วนต่างราคา NAV เมื่อขายคืนหน่วยลงทุน
ส่วนต่างราคา Nav เมื่อขายคืนหน่วยลงทุน
ภาษี
เงินปันผลที่ได้รับจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%
กำไรส่วนต่างของราคาขาย ไม่เสียภาษี
กำไรส่วนต่างของราคาขาย ไม่เสียภาษี
ความเสี่ยง
เงินปันผลที่ได้รับช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุน หากนำไปกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น เงินปันผลจากกองทุนหุ้นไทยนำไปลงทุนต่อในกองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
หากมูลค่าเงินลงทุนมีการเติบโตทำให้มีสัดส่วนการลงทุนที่สูงจะมีความเสี่ยงมากขึ้นตามไปด้วย เช่น การลงทุนในหุ้นไทยหากกองทุนเติบโตจนเป็นสัดส่วนที่สูงของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด ต่อมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอาจทำให้เงินลงทุนในภาพรวมทั้งหมดเสี่ยงต่อการขาดทุนมากขึ้นตาม
การเติบโตของมูลค่าเงินลงทุน
เงินปันผลที่ได้รับถูกหักภาษี ทำให้มูลค่าเงินลงทุนรวมมีโอกาสน้อยกว่าลงทุนในกองทุนที่ไม่มีปันผล
กำไรจากกองทุนที่นำไปลงทุนต่อ สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนได้มากขึ้น
เหมาะกับใคร
นักลงทุนที่มีเงินลงทุนก้อนใหญ่
นักลงทุนต้องการมีรายได้ประจำ
นักลงทุนที่เกษียณแล้ว
นักลงทุนที่มีเงินจำนวนไม่มาก
นักลงทุนที่มีรายได้ประจำอยู่แล้ว
นักลงทุนที่อายุยังน้อย


จากตารางข้างต้นคงพอจะได้คำตอบแล้วว่าเราจะเลือกลงทุนแบบใด เพราะคำตอบของคำถามข้อนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคนนั่นเองและหากเลือกได้แล้วตอนนี้มีกองทุนที่น่าสนใจกองทุนไหนกันบ้างนะ



สายชอบลงทุนแบบมีปันผลคัดมาให้แล้วกับ 2 กองทุน

1.กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE) : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นไทย กองทุนนี้เน้นลงทุนหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีผลการดำเนินงานมั่นคงกว่าหุ้นทั่วไปในทุกภาวะเศรษฐกิจหรือในยามที่ตลาดมีความผันผวน และมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด บริหารโดย บลจ.กสิกรไทย ผลตอบแทนกองทุนตั้งแต่ต้นปี +7.29% (ณ วันที่ 7 ต.ค. 67) จ่ายปันผลมาแล้ว 25 ครั้ง ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน


โดยกองทุนนี้ได้อานิสงส์จากทิศทางการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น หุ้นไทยจึงมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคส่งออกที่ฟื้นตัว กำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มดีขึ้น และตลาดหุ้นไทยอาจมีแรงหนุนระยะสั้นจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ที่เริ่มเข้าลงทุนในเดือน ต.ค. 67


2.กองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน-A ชนิดจ่ายเงินปันผล (K-GINFRA-A(D) : เหมาะกับนักลงทุนที่อยากกระจายการลงทุนไปทั่วโลก นโยบายกองทุนลงทุนในหุ้นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กลุ่มบริษัท น้ำมัน ไฟฟ้า สื่อสาร ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกที่มีมูลค่าถูก บริหารโดยกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds Global Infrastructure, Class Z ด้วยตัวธุรกิจที่มักมีรายได้สม่ำเสมอทำให้สามารถจ่ายปันผลในกับนักลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ผลตอบแทนกองทุนตั้งแต่ต้นปี +7.56% (ณ วันที่ 7 ต.ค. 67) จ่ายปันผลมาแล้ว 15 ครั้งตั้งแต่จัดตั้งกองทุน


ประกอบกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการที่ Fed เริ่มลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าอุตสาหกรรมเหล่านี้ตั้งแต่เดือน พ.ค. 67


อย่างไรก็ตาม หากกองทุนรวมที่ลงทุนนั้นมีมูลค่าลดลงจากสินทรัพย์ที่ลงทุนมีการปรับตัวลงตามสภาวะตลาด กองทุนอาจพิจารณาไม่จ่ายเงินปันผลในช่วงนั้นได้เช่นกัน



สายชอบลงทุนแบบไม่มีปันผลแนะนำ 2 กองทุน

1.กองทุนเปิดเค เซ็ท 50 (K-SET50) : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นไทย กองทุนมีนโยบายลงทุนหุ้นไทยในดัชนี SET50 เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีผลตอบแทนรวม SET50 บริหารผ่านบลจ.กสิกรไทย ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +8.03% (ณ วันที่ 7 ต.ค. 67) จุดเด่น คือ มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายถูกเมื่อเทียบกับกองทุน Active


2.กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลดิวิเดนด์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์-สะสมมูลค่า (KFGDIV-A) : ทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่อยากลงทุนหุ้นปันผลชั้นนำของโลกที่มีศักยภาพในการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มเติบโตดี บริหารโดยกองทุนหลัก Fidelity Funds - Global Dividend Fund, Class Y-QINCOME(G)-USD กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ bottom-up แต่ยังคงมีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตทั้งรายภูมิภาคและรายหมวดธุรกิจจึงมีความผันผวนต่ำกว่ากองทุน Global Equity ทั่วไป ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +12.48% (ณ วันที่ 4 ต.ค. 67)


ปัจจุบันตลาดหุ้นโลกที่ยังคงมีความผันผวนมากขึ้น ในช่วงก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ช่วงปลายปี 67 และความขัดแย้งของสงครามตะวันออกกลาง การลงทุนในหุ้นปันผลที่มีกำไรเติบโตได้ในทุกสถานการณ์จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้


ศึกษาข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม : https://www.krungsri.com/th/personal/mutual-fund/products/recommendation/dividend/kfgdiv


เมื่อเลือกได้แล้ว อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายการเงินที่วางไว้ได้ตามเวลาที่ตั้งใจ คือการเริ่มลงทุน “วันนี้” และการลงทุนที่ดีควรพิจารณาความเสี่ยงร่วมด้วย การกระจายการลงทุนไปยังหลายภูมิภาคหลายอุตสาหกรรมและกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะเลือกกองทุนที่มีปันผลหรือไม่มีปันผลก็ตาม


Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุ,

• กองทุน K-VALUE , K-GINFRA-A(D) , K-SET50 , KFGDIV-A มีระดับความเสี่ยงที่ 6 (จากสูงสุด 8 ระดับ)

• กองทุน K-GINFRA-A(D) มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ

• กองทุน KFGDIV-A มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ

• กองทุน K-VALUE , K-SET50 ขายคืนได้ทุกวันทำการเวลา (8:30-15:30 น.) โดยกองทุน K-VALUE จะได้รับเงินค่าขายคืน 3 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+3) , กองทุน K-SET50 จะได้รับเงินค่าขายคืน 2 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+2)

• กองทุน K-GINFRA-A(D) , KFGDIV-A ขายคืนได้ทุกวันทำการเวลา (8:30-14:30 น.) โดยจะได้รับเงินค่าขายคืน 4 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+4) ตัวอย่าง หากขายคืนกองทุน K-GINFRA-A(D) วันพุธ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคาร (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์)