ทำไมสหรัฐฯ ถึงยังน่าสนใจในปี 2025
มองไปทั่วโลกในเชิงเปรียบเทียบ (Relative) จะพบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจประเทศอื่น เหตุผลหลักมาจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง การจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการจ้างงานทั้งหมดประมาณ 161 ล้านตำแหน่ง ส่งผลดีต่อมายังการบริโภคภายในซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นอกจากนี้หากเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าประเทศอื่น เปิดช่องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีเครื่องมือด้านนโยบายการเงินพร้อมสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าประเทศอื่น
ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยดึงดูดความสนใจและเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลกมายังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2025
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีกี่ตลาด
ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เป็นแหล่งที่หุ้นของบริษัท สินค้าโภคภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินในสหรัฐฯ เข้ามาจดทะเบียนให้นักลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งในสหรัฐฯ มีตลาดหลักทรัพย์ใหญ่อยู่ 2 ตลาด ประกอบด้วย
1. New York Stock Exchange (NYSE)
ตลาดหลักทรัพย์ซึ่งอยู่ในเมือง New York ก่อตั้งเมื่อปี 1790 สำหรับบริษัทที่ต้องการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NYSE จะต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 400 ราย และมีหุ้นทั้งหมดไม่น้อยกว่า 1.1 ล้านหุ้น โดยกว่า 80% ของการซื้อขายที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้เป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างของบริษัทชั้นนำที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NYSE เช่น Berkshire Hathaway Inc., Taiwan Semiconductor, Walmart, Visa, Eli Lilly
2. National Association of Securities Dealers Automated Quotation System (Nasdaq)
เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการจัดการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีความทันสมัยกว่าตลาดหลักทรัพย์ NYSE จึงมีค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์ NYSE เหมาะกับบริษัทขนาดเล็กที่ยังมีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NYSE ก่อตั้งเมื่อปี 1971 โดย National Association of Securities Dealers (NASD) ตัวอย่างของบริษัทระดับโลกที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq เช่น Apple, Alphabet, Amazon, Microsoft
ดัชนีหุ้น คืออะไร
ดัชนีหุ้น (Stock Index) คือ ตัวเลขที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ดัชนีนำมารวมคำนวณไว้ในดัชนี เช่น ดัชนี SET ของไทย, ดัชนี S&P500 และ ดัชนี Dow Jones ของสหรัฐฯ, ดัชนี Nikkei225 ของญี่ปุ่น ทั้งนี้ องค์ประกอบและวิธีคำนวณดัชนีจะขึ้นอยู่กับแต่ละหน่วยงานที่สร้างดัชนีขึ้นมา ดัชนีที่ดีต้องโปร่งใสและสามารถใช้เป็นเครื่องมือลงทุนได้
วิธีการคำนวณดัชนีแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ดัชนีถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด (Capitalization-weighted Index) หุ้นที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูง จะมีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีมูลค่าตลาดต่ำกว่า ตัวอย่างดัชนีที่คำนวณด้วยวิธีนี้ เช่น ดัชนี SET, ดัชนี S&P500
2. ดัชนีถ่วงน้ำหนักด้วยราคาตลาด (Price-weighted Index) หุ้นที่มีราคาสูงจะมีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า ตัวอย่างดัชนีที่คำนวณด้วยวิธีนี้ เช่น ดัชนี Dow Jones, ดัชนี Nikkei225
3. ดัชนีถ่วงน้ำหนักเท่ากัน (Equal-weighted Index) หุ้นทุกบริษัทในดัชนีจะมีสัดส่วนในการคำนวณดัชนีเท่ากันหมด เช่น ดัชนี S&P 500 Equal Weight
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีกี่ดัชนี
ตลาดการเงินสหรัฐฯ เป็นตลาดที่เปิดเสรีอย่างมาก ทำให้มีดัชนีหุ้นเกิดขึ้นมากมายทั้งใหญ่และเล็ก แต่ดัชนีที่สำคัญและเป็นที่นิยมไปทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 5 ดัชนีหลัก ดังนี้
• ดัชนี S&P500
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ จัดทำโดยสถาบัน Standard & Poor เมื่อปี 1957 ประกอบด้วยหุ้นสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุด 500 บริษัท ซึ่งคำนวณด้วยวิธี Capitalization-weighted Index จากบริษัทที่จดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ NYSE และ Nasdaq หุ้นที่น่าสนใจในดัชนี ได้แก่ Apple, NVIDIA, JPMorgan, Abbott, Walt Disney, Meta
มีสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ดังนี้ 1.) Information Technology 31.56% 2.) Financials 13.76% 3.) Consumer Discretionary 10.83% 4.) Healthcare 10.52% และ 5.) Communication Services 8.98%
ปัจจุบันดัชนีมีอัตราส่วน P/E อยู่ที่ 27.04 เท่า และมีอัตราส่วน P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 24.93 เท่า และมีมูลค่าตลาดรวม 53.13 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหุ้น Apple มีมูลค่าตลาดสูงสุดที่ 3.622 ล้านล้านดอลลาร์
• ดัชนี Dow Jones
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่มีความมั่นคงและมีชื่อเสียงจำนวน 30 บริษัท ที่ครอบคลุมและชี้วัดภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ จัดทำโดย Wall Street Journal และ Dow Jones & Company ใช้การคำนวณแบบ Price-weighted Index มีหุ้นที่น่าสนใจในดัชนี เช่น Goldman Sachs, JPMorgan, Apple, Walmart, P&G
มีสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ดังนี้ 1.) Financials 23.75% 2.) Information Technology 19.59% 3.) Healthcare 15.68% 4.) Consumer Discretionary 13.85% และ 5.) Industrials 12.65%
ปัจจุบันดัชนีมีอัตราส่วน P/E อยู่ที่ 25.31 เท่า และมีอัตราส่วน P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 21.88 เท่า และมีมูลค่าตลาดรวม 19.73 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหุ้น Apple มีมูลค่าตลาดสูงสุดที่ 3.622 ล้านล้านดอลลาร์
• ดัชนี Nasdaq Composite
ดัชนีที่จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq เพื่อชี้วัดความเคลื่อนไหวของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ที่มีกว่า 3,000 บริษัท ใช้การคำนวณแบบ Capitalization-weighted Index เป็นดัชนีที่โดดเด่นด้านหุ้นเทคโนโลยี มีหุ้นที่น่าสนใจในดัชนี เช่น Apple, Adobe, Meta, Microsoft
มีสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ดังนี้ 1.) Information Technology 49.21% 2.) Consumer Discretionary 14.82% 3.) Communication Services 14.58% 4.) Healthcare 6.05% และ 5.) Industrials 4.29%
ปัจจุบันดัชนีมีอัตราส่วน P/E อยู่ที่ 43.60 เท่า และมีอัตราส่วน P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 84.89 เท่า และมีมูลค่าตลาดรวม 32.74 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหุ้น Apple มีมูลค่าตลาดสูงสุดที่ 3.622 ล้านล้านดอลลาร์
• ดัชนี Nasdaq100
ดัชนีที่จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq เพื่อชี้วัดความเคลื่อนไหวของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq แต่คัดเลือกบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 100 บริษัท ใช้การคำนวณแบบ Capitalization-weighted Index แน่นอนว่ามีความโดดเด่นด้านหุ้นเทคโนโลยีและการเติบโตสูง มีหุ้นที่น่าสนใจในดัชนี เช่น Apple, Meta, Tesla, Amazon, NVIDIA, Alphabet
มีสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ดังนี้ 1.) Information Technology 49.51% 2.) Communication Services 16.40% 3.) Consumer Discretionary 14.55% 4.) Consumer Staples 5.66% และ 5.) Healthcare 5.35%
ปัจจุบันดัชนีมีอัตราส่วน P/E อยู่ที่ 36.09 เท่า และมีอัตราส่วน P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 33.11 เท่า และมีมูลค่าตลาดรวม 26.60 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหุ้น Apple มีมูลค่าตลาดสูงสุดที่ 3.622 ล้านล้านดอลลาร์
• ดัชนี Russell 2000
ดัชนีที่จัดทำขึ้นมาเมื่อปี 1984 เพื่อใช้อ้างอิงความเคลื่อนไหวของบริษัทขนาดเล็กที่สุดในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ จำนวน 2,000 บริษัท ใช้การคำนวณแบบ Capitalization-weighted Index มีหุ้นเด่นในดัชนี เช่น FTAI AVIATION, SPROUTS FARMERS, HIMS HERS HEALTH
มีสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ดังนี้ 1.) Financials 18.94% 2.) Industrials 18.04% 3.) Healthcare 16.34% 4.) Information Technology 13.23% 5.) Consumer Discretionary 9.90%
ปัจจุบันดัชนีมีอัตราส่วน P/E อยู่ที่ 61.57 เท่า และมีอัตราส่วน P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 43.91 เท่า และมีมูลค่าตลาดรวม 3.36 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหุ้น FTAI AVIATION มีมูลค่าตลาดสูงสุดที่ 16,533 ล้านดอลลาร์
ตอนนี้ดัชนีอะไรน่าสนใจสำหรับการลงทุนในปี 2025
ปี 2024 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างแรงด้วยหุ้นเพียงไม่กี่กลุ่มโดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนี S&P500, Nasdaq Composite และ Nasdaq100 มีมูลค่าที่ค่อนข้างสูง แต่ยังมีหุ้นอีกหลายกลุ่มที่ราคายังไม่สูงมาก ขณะเดียวกันกำไรยังเติบโต เช่น หุ้นกลุ่ม Mid-Small Cap ซึ่งอยู่ในดัชนี Russell 2000
นอกจากนี้หุ้น Mid-Small Cap ซึ่งการขยายธุรกิจใช้เงินลงทุนจากการกู้ยืม ทำให้มีโอกาสรับอานิสงส์จากทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 อีกทั้งนโยบาย Protectionism ของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเอื้อประโยชน์ทั้งทางตรงและอ้อมต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าวซึ่งมีรายได้จากในประเทศสหรัฐฯ มากกว่าจากต่างประเทศ
สำหรับนักลงทุนที่สนใจกองทุนที่ลงทุนหุ้นกลุ่ม Mid-Small Cap สามารถดูได้จากดัชนีอ้างอิงซึ่งจะมีแจ้งใน Fund Fact Sheet ของกองทุนหลัก หรือดูจากมูลค่าตลาด (Market Cap) ของบริษัท ซึ่งจะมีแจ้งใน Fund Fact Sheet ของกองทุนหลักเช่นกัน โดยมองหากองทุนที่มีหุ้นซึ่งมีมูลค่าตลาด (Market Cap) ของบริษัทไม่เกินช่วงประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์