ตลาดเริ่มเปลี่ยนหน้าหุ้น กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ตัวไหนได้ประโยชน์มากสุด?
หากมองย้อนไป 1-2 ปีที่ผ่านมา K WEALTH เรามีมุมมองที่เป็นบวกต่อหุ้นขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดเป็นบวก และมูลค่าสมเหตุสมผล เช่น K-USA เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 5.25-5.50% ณ ตอนนั้นแต่ได้ประโยชน์จาก AI อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 3 ของปีนี้หลัง Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยและได้ลดไปแล้วจนปัจจุบันลงมาอยู่ที่ระดับ 4.5-4.75% และจะทยอยค่อยๆลดตามเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดหุ้นในวงกว้างมากขึ้น
อีกปัจจัยหนุนมาจากงบการเงินไตรมาส 3 พร้อมคาดการณ์ในระยะข้างหน้าของหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) ที่ประกาศออกมาดี โดยเฉพาะกลุ่มซอฟต์แวร์และอีคอมเมิร์ซนอกเหนือจากกลุ่ม Magnificent 7 ทำให้ราคาหุ้นตอบรับเชิงบวกอย่างมาก 2 ปัจจัยข้างต้นนี้ได้ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมั่นใจกระจายการลงทุนออกจากหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัวไปยังหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็กที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว (Selective) มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง งบการเงินออกมาดี
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือในรอบ 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมานับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ว่านายดอนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยและจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวกอย่างมากส่งผลให้ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง สาเหตุก็มาจากนโยบายหาเสียงของเขาที่มีแผนจะลดภาษีนิติบุคคล ผ่อนปรนกฎเกณฑ์การดำเนินธุรกิจต่างๆ สนับสนุนกลไกลตลาดแบบเสรี ทำให้หุ้นหลายตัวตอบรับเชิงบวก แต่หากเรามาดูหน้าหุ้นที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นแน่นอนว่าหนีไม่พ้นหุ้นอย่าง Tesla และหุ้นที่เชื่อมโยงกับ Bitcoin เนื่องจากดอนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณเชิงบวกชัดเจนต่อหุ้นเหล่านี้
จากการที่ K WEALTH ได้ติดตามปัจจัยข้างต้นและได้ทำการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกลุ่มกองทุนสหรัฐฯ พบว่า SCBUSAA ได้ประโยชน์จากทั้ง 3 ปัจจัย 1.ดอกเบี้ยขาลง 2.มีสัดส่วนหุ้นขนาดกลางที่งบออกมาดี และ 3.ได้ประโยชน์จากนโยบายทรัมป์ จึงเป็นสาเหตุที่ผลการดำเนินงานมาแรงแซงทางโค้งหลังจากที่ราคาไม่ค่อยไปไหนนับตั้งแต่ปรับฐานรุนแรงตอนปี 2022 ที่ดอกเบี้ยเป็นช่วงขาขึ้น และโมเมนตัมนี้ยังคงมีแนวโน้มดีต่อไปอีกสักระยะ ดังนั้นเราจึงหยิบ SCBUSAA มาเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสจากการที่ตลาดเริ่มเปลี่ยนหน้าหุ้นกระจายตัวไปยังหุ้นขนาดกลาง-เล็กแบบ Selective มากขึ้น
ภาพที่ 1 ผลตอบแทน SCBUSAA พร้อม Quartile เปรียบเทียบกับกลุ่มกองทุนหุ้นสหรัฐฯ
* 3Y Return เป็น % ต่อปี
ที่มา Morningstar ณ วันที่ 11 ธ.ค. 2024
ภาพที่ 2 เปรียบเทียบผลตอบแทนนับตั้งแต่ 6 พ.ย. หลังทราบผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะเห็นว่าหากไม่นับ Bitcoin ETF กองทุนหลัก SCBUSAA ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่าตลาดและ K-USA
ที่มา Bloomberg ณ วันที่ 13 ธ.ค. 2024
สไตล์การลงทุนที่แตกต่างของ SCBUSAA และ K-USA ทำให้ “ระยะสั้น” SCBUSAA อาจปรับตัวขึ้นได้มากกว่า
กองทุนหลัก K-USA หรือ Brown Advisory U.S. Sustainable Growth เน้นลงทุนหุ้นเติบขนาดใหญ่ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ซึ่งแน่นอนว่ามีสัดส่วนหุ้น Magnificent 7 ที่ผลตอบแทนโดดเด่นมาอย่างต่อเนื่องอยู่หลายตัว อาทิ Nvidia Amazon.com Microsoft Alphabet ทำให้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาทำได้ดีกว่ากลุ่มกองทุนสหรัฐฯ จำนวนหลายกองทุน แต่ด้วยแนวโน้มตลาดที่เราได้กล่าวไปตอนต้นหุ้นขนาดกลางถึงเล็กมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ดีกว่า แม้ช่วงนี้กองทุนหลักมีการ Underweight หุ้นขนาดใหญ่ลงมาบ้างแล้วแต่หากเทียบกับกองทุนหลัก SCBUSAA ขนาดหุ้น (Market Cap) ของ K-USA ยังคงใหญ่กว่าพอสมควร
ขณะที่กองทุนหลัก SCBUSAA หรือ Morgan Stanley US Growth Fund มีปรัชญาการลงทุนเน้นหุ้นขนาดกลางซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงซึ่งกองทุนหลักมองว่าจะก้าวขึ้นเป็นหุ้นขนาดใหญ่ได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามแม้ผลการดำเนินงานที่ได้กล่าวไปช่วงตอนต้นในระยะสั้นดูดีอย่างมาก เหมือนช่วงปี 2020-2021 ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเร็วมากกว่า 100% จากความคาดหวังการเติบโตสูงประกอบกับดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำตั้งแต่ช่วงวิกฤต Covid-19 แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนว่าเวลาปรับฐานหุ้นกองทุนนี้ลงค่อนข้างหนักเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ปี 2022 ที่ทำผลผลตอบแทนได้ติดลบถึง -60% สาเหตุก็ไม่ใช่ว่าปัจจัยพื้นฐานแย่แต่เป็นเรื่องปกติที่เวลาดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นกระทบกลุ่มหุ้นขนาดกลางถึงเล็กมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ (ที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งกว่า)
จากภาพด้านล่างจะเห็นว่าทั้ง 2 กองทุนมีทั้งช่วงที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเนื่องจากมีปรัชญาการลงทุนที่แตกต่างกัน หากท่านใดที่มี K-USA อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลในระยะยาวผลตอบแทนยังคงทำได้ค่อนข้างโดดเด่นไม่แพ้ SCBUSAA และหากท่านใดต้องการจับจังหวะลงทุนในระยะสั้นช่วงนี้อาจลองพิจารณา SCBUSAA เป็นทางเลือก แต่แนะนำสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงเป็นหลักเนื่องจากกองทุนมีความผันผวนสูงมาก แต่หากท่านใดไม่ต้องการเห็นความผันผวนสูงมาก K-USA ก็ตอบโจทย์เช่นกัน เนื่องจากเรามองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มทำผลตอบแทนได้ดีกว่าหากเทียบกับการลงทุนในภูมิภาคอื่น เพราะอย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 2 กองทุนก็มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของ Fed และการกลับมาของทรัมป์ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
ภาพที่ 3 ผลตอบแทนกองทุนหลัก K-USA และกองทุนหลัก SCBUSAA ย้อนหลัง 5 ปี
ที่มา Bloomberg ณ วันที่ 13 ธ.ค. 2024
จุดเด่นกองทุนหลัก SCBUSAA และพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน
กองทุนหลัก Morgan Stanley US Growth Fund เฟ้นหาหุ้นที่มีซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง (มีหุ้นขนาดเล็กบางส่วน) มี Market Cap เฉลี่ย 4.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับดัชนีชี้วัด Russell 1000 Growth ที่ 1.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และทีมผู้จัดการกองทุนมองว่าหุ้นเหล่านี้มีแนวโน้มก้าวขึ้นเป็นหุ้นขนาดใหญ่จากความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ลงทุนแบบกระจุกตัว (ปัจจุบัน 27 หลักทรัพย์) และปรับเปลี่ยนหน้าหุ้นค่อนข้างน้อย โดยทีมผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์ลงทุนมากกว่า 20 ปี
ภาพที่ 4 พอร์ตการลงทุนปัจจุบันของ Morgan Stanley US Growth Fund
ที่มา Morgan Stanley ณ วันที่ 31 ต.ค. 2024
คำแนะนำการลงทุน
เรามีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปัจจัยพื้นฐานโดดเด่นเฉพาะตัว และมองว่าการเลือกหุ้นลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าการลงทุนบนดัชนีในช่วงนี้ จึงแนะนำนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงมากซื้อ SCBUSAA (ทำรายการได้เฉพาะผ่าน K PLUS ) และ K-USA ที่สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยกว่ามีให้เลือกลงทุนทั้ง Share Class แบบปันผลและไม่ปันผล รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษี SSF RMF ด้วยความโดดเด่นทั้งระยะสั้นและระยะยาวของแต่ละกองทุนที่ได้กล่าวไป
สุดท้ายนี้ K WEALTH มีข่าวดีมาบอก วันนี้เราเพิ่มทางเลือกกองทุนของค่ายอื่นอีก 15 บลจ. ให้นักลงทุนได้ช้อปด้วยตนเองผ่าน K PLUS แอพที่ทุกคนมีไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แค่คลิ๊กง่ายๆ ไปที่เมนู Investment หรือลงทุน
* โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก บลจ. กสิกรไทย (KAsset) และบลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM)
ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
• Morningstar และ Bloomberg
• Morgan Stanley