ปี 2567 ถือเป็นอีกปีที่ตลาดการลงทุนที่มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ เช่น 1. ช่วงต้นปีที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่ม Magnificent 7 หรือ 7 นางฟ้า ได้แก่ Apple Microsoft Alphabet Amazon Meta Tesla Nvidia ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องรับ Trend AI 2. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบปีที่ 0.5% ในช่วงเดือนก.ย. 3. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ภายหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และ 4. ความไม่สงบในตะวันออกกลาง (อิสราเอล-ตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครน) รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ส่งเสริมให้ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ระหว่างปี อ้างอิงจากเหตุการณ์เหล่านี้ สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด (อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 14 ธ.ค. 67) จึงประกอบด้วย 1.หุ้นสหรัฐ (ดัชนี NASDAQ) +32.74% 2.ทองคำ +28.37% และ 3.หุ้นสหรัฐ (ดัชนี S&P500) +26.86% ในขณะเดียวกัน สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ คือ 1.REITs ในสิงคโปร์ (ดัชนี FTSEREIT) = -11.77% 2.ราคาน้ำมัน WTI (ราคา WTI/USD) = -0.50% และ 3.ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ของไทย (TH Bond Yield 10 ปี) = -0.39%
ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจและการรเมืองที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การเลือกสินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสมในปีหน้าอาจต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญ เช่น ทิศทางดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลก และความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ บทความนี้ K WEALTH จะช่วยสรุปกลยุทธ์และแนวโน้มการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2568 เพื่อช่วยให้นักลงทุนเตรียมพร้อมรับมือและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สรุปผลตอบแทนรายสินทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี 2567
1.Top Gainers สินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นที่สุด (Outperform) นับตั้งแต่ต้นปี มีทั้งสิ้น 3 ประเภทสินทรัพย์ ได้แก่
1. หุ้นสหรัฐฯ (ดัชนี NASDAQ +32.74% และ S&P500 +26.86%) หนุนจากราคาหุ้น 7 นางฟ้าที่ปรับตัวโดดเด่น
2. ทองคำ +28.37% เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง ทำให้ค่าเงิน USD มีแนวโน้มอ่อนค่า และภาวะความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทำให้ความต้องการของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำเพิ่มสูงขึ้น และ
3. หุ้นจีน (ที่จดทะเบียนในฮ่องกง อย่างดัชนี HSCEI +24.58%) เนื่องจากตลาดตอบรับเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบจัดเต็มของจีนช่วงไตรมาสที่ 3
2.Top Loser สินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนได้บู้บี้ (Underperform) นับตั้งแต่ต้นปี มีทั้งสิ้น 3 ประเภทสินทรัพย์ ได้แก่
1. REITs ในสิงคโปร์ (ดัชนี FTSEREIT -11.77%) เนื่องจากผลประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ปรับตัวลดลงตามอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่ม Office และ Hospitality ที่ปรับลงแรง ส่วนกลุ่ม Data Center ปรับตัวขึ้น
2. ราคาน้ำมัน -0.50% เนื่องจากความไม่สงบในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาน้ำมันมีความผันผวน
3. ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปี ของไทย (TH Bond Yield 10 ปี) -0.39% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% น้อยกว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed และลดภายหลัง Fed เริ่มลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ Bond Yield ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (ผลตอบแทนติดลบ)
รูปที่ 1 แสดงผลตอบแทนรายสินทรัพย์ ตั้งแต่ต้นปี 2567 (กรอบสีแดง) (ข้อมูล ณ วันที่ 14 ธ.ค. 67 จาก Bloomberg)
แนวโน้มการลงทุนในปี 2568
ทาง K WEALTH มี 5 ธีมการลงทุนสำหรับการลงทุนในปี 2568 ดังนี้
1.Theme ลงทุนรับความผันผวนของโลก (Riding the Waves of the Moderate Growth and Uncertainty) ในปี 2568 ถึงแม้จะมีตลาดหุ้นจะมีโอกาสเติบโตได้ดี แต่ก็มีปัจจัยที่สร้างความผันผวนของตลาดได้ เช่น Trade War จากนโยบายการค้าของประธานาธิบดี ทรัมป์ ที่จะมีความรวดเร็วและรุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนจากนโยบายการเงิน (การลดอัตราดอกเบี้ย)ของ FED ที่จะกระทบต่อการเติบโตของ GDP และตลาดการลงทุน เพื่อรองรับกับการเติบโตแบบไม่แน่นอน กองทุนที่แนะนำ คือ K-WealthPLUS Series (K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE)
2.Theme เกาะกระแสหุ้นสหรัฐฯขนาดกลาง-เล็ก (Tapping Into U.S. Equity Strengthen Through Small and Mid-Caps) ในปี 2568 ถึงแม้จะถูกกดดันด้วยนโยบาย Trade War ของประธานาธิบดี ทรัมป์ แต่ด้วยมูลค่าที่น่าสนใจ (เทียบกับตัวเอง) ของ หุ้นสหรัฐฯ ขนาดกลาง-เล็ก และอานิสงส์เชิงบวกของนโยบายเชิงปกป้อง (Protectionism) ของทรัมป์ จะส่งเสริมการบริโภคภายในเติบโตและลดการพึ่งพาเศรษฐกิจโลก กองทุนที่แนะนำ คือ K-USA-A(A), K-HIT-A(A)
3.Theme หุ้นที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมกับกระแส AI (Quiet Opportunities Unearthing Value in the AI Boom) จากกระแสนิยมในธุรกิจ AI ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงแล้ว ทำให้มองไปยังหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมกับกระแสนิยมในธุรกิจ AI อย่างเช่น หุ้นกลุ่ม Healthcare และ Infrastructure ที่ยังมีการเติบโตกำไรดี และ Valuation ที่ยังน่าสนใจอยู่ กองทุนที่แนะนำ คือ K-GINFRA-A(D), K-GHEALTH
4.Theme หุ้นที่กระทบระยะสั้นจาก Trade War ของทรัมป์ (Targeting Asia’s Resilient Markets Amid Trade Tensions) เวียดนาม ที่เป็นฐานการผลิตแทนจีน ด้วยปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน ประชากรวัยแรงงาน จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) โดยคาดการณ์ GDP ในปี 2568 จะอยู่ที่ 6.5% ทำให้มีปัจจัยบวก คือ Valuation ที่ยังถูก และอัตราเติบโตของกำไรที่ยังอยู่ในระดับสูง ถึงแม้จะมีการถูกกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ (สัดส่วนส่วนใหญ่สินค้าส่งออกจากเวียดนาม คือ สหรัฐฯ) เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น กองทุนที่แนะนำ คือ K-VIETNAM
5.Theme ตราสารหนี้ระยะยาวที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง (Finding Fixed Income Opportunities as the FED Eases) ในปี 2568 ตราสารหนี้ระยะยาว จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงของ FED และผลกระทบจากสงครามการค้าอาจไม่ส่งผลต่อเงินเฟ้อมากนัก เอื้อต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทำให้มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ย และตราสารหนี้ยังได้รับประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า กองทุนแนะนำ คือ K-FIXEDPLUS-A
จากแนวโน้มการลงทุน 5 Theme ข้างต้น ทาง K WEALTH ขอสรุปกองทุนแนะนำ ตามระดับความเสี่ยง ซึ่งจะมีผลต่อผลตอบแทนที่คาดหวังในปีหน้าด้วย ดังนี้
ระดับความเสี่ยงสูง กองทุนมีให้เลือก คือ K-USA-A(A), K-HIT-A(A) ที่มีการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯขนาดกลาง-เล็ก K-GHEALTH K-GINFRA-A(D) ที่ลงทุนในธุรกิจสุขภาพ หรือ ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์/โครงสร้างพื้นฐาน ที่จะได้ประโยชน์ทางอ้อมกับธุรกิจ AI K-VIETNAM ที่ลงทุนในประเทศเวียดนาม มี Valuation และอัตราเติบโตของกำไรที่สูงขึ้นที่เป็นปัจจัยบวก ส่วนปัจจัยลบ ถูกกดดันจากมาตรการสงครามการค้าสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะมีผลกระทบระยะสั้น
ระดับความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง มีกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP K-WPULTIMATE ที่เป็นกองทุนผสม (ตราสารหนี้และหุ้นต่างประเทศ มีสัดส่วนหุ้นแตกต่างกัน) เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดหุ้น และยังมีสัดส่วนตราสารหนี้เพื่อได้ประโยชน์จากช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง
ระดับความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ มีกองทุน K-FIXEDPLUS ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ที่จะได้ประโยชน์จากช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง