ในปี 2567 ตลาดหุ้นสำคัญที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดยังคงเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นับตั้งแต่ต้นปี ดัชนี S&P500 เติบโตถึง 25.5% (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ย. 67) โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เติบโตได้ดีเฉลี่ยปีละ 15% ตลาดหุ้นสหรัฐฯจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเสมอสำหรับการล

ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ลงทุนยังไง ตัวไหนน่าสนใจ สรุปมาให้แล้ว

ในปี 2567 ตลาดหุ้นสำคัญที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดยังคงเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นับตั้งแต่ต้นปี ดัชนี S&P500 เติบโตถึง 25.5% (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ย. 67) โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เติบโตได้ดีเฉลี่ยปีละ 15% ตลาดหุ้นสหรัฐฯจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเสมอสำหรับการล

o บริษัทที่อยู่ในเทรนด์กระแสนิยมของคนรุ่นใหม่รวมถึงบริษัทชั้นนำที่ผู้คนใช้งานทั่วโลกส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และเทคโนโลยีชั้นสูง เป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังเติบโตได้ในระยะยาว

o กองทุนหุ้นสหรัฐฯ หนึ่งในทางเลือกในการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่เริ่มต้นได้ง่ายๆ บนมือถือ เพียงเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุน ตรงกับที่ตนเองต้องการ เช่น K-USA , K-USXNDQ ,K-GTECH และ K-US500X-A(A) เป็นต้น


ในปี 2567 ตลาดหุ้นสำคัญที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดยังคงเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นับตั้งแต่ต้นปี ดัชนี S&P500 เติบโตถึง 25.5% (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ย. 67) โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เติบโตได้ดีเฉลี่ยปีละ 15% (ข้อมูล ณ วันที่ 19 ธ.ค. 67) ตลาดหุ้นสหรัฐฯจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเสมอสำหรับการลงทุน


ผลตอบแทนตลาดหุ้นที่สำคัญตั้งแต่ต้นปี – 26 พ.ย. 67

ทำไมใครๆถึงสนใจลงทุนหุ้นสหรัฐฯ

1.ตลาดหุ้นมีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯมี Market share ครอบคลุมประมาณ 55% ของตลาดหุ้นทั่วโลกรวมกัน มีมูลค่ารวมกว่า 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยประมาณ 50 เท่า (ข้อมูล ณ ธ.ค. 66) ทำให้การซื้อขายในตลาดมีสภาพคล่องสูง


2.โอกาสลงทุนในบริษัทชั้นนำระดับโลก

เป็นแหล่งรวมบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย เช่น Apple, Microsoft, Amazon และ Facebook ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรม นอกจากนี้ยังมีบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น Coca-Cola, McDonald''s เป็นต้น ซึ่งธุรกิจมีการเติบโตสูง มีเทคโนโลยีล้ำสมัย และอาจไม่มีให้ลงทุนในตลาดหุ้นไทย


3.ผลตอบแทนดีในระยะยาว

ดัชนี S&P500 ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี ณ xxx เฉลี่ยเติบโตมากกว่า 10% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือเงินฝากธนาคาร รวมถึงตลาดหุ้นประเทศ/ภูมิภาค xxx แต่ในระยะสั้นตลาดจะมีความผันผวนสูง นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้ด้วยการใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบสม่ำเสมอ (Dollar-Cost Averaging)


4.การกระจายการลงทุน

การกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงตลาดหุ้นอื่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น นักลงทุนอาจพิจารณาจัดสรรการลงทุนด้วยพอร์ต Core-Satellite ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ดูรายละเอียดการจัดพอร์ต Core-Satellite ได้จากบทความจัดพอร์ตลงทุนแบบระยะสั้น-ยาว ยืนหยัดสู้ได้ทุกสภาวะตลาด


5.มาตรฐานการกำกับดูแลที่เข้มงวด

มาตรฐานการคุ้มครองนักลงทุนในสหรัฐฯ ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการทุจริตหรือการบิดเบือนข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน ภายใต้การกำกับดูแลของ SEC (Securities and Exchange Commission) ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน


อยากลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เริ่มอย่างไรดี

สำหรับนักลงทุนมือใหม่: สามารถลงทุนผ่าน ETF เช่น SPDR DJIA Trust ที่ลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน Dow Jones ข้อดี คือ ใช้เงินลงทุนน้อย สภาพคล่องสูง และเป็นการกระจายการลงทุนในหลากหลายบริษัท ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ นอกเหนือไปจากการทยอยลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging) ด้วย หรืออีกทางเลือกที่ลงทุนได้ง่ายผ่านกองทุนหุ้นสหรัฐฯซึ่งมีให้เลือกลงทุนหลากหลายตามวัตถุประสงค์


สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ: สามารถลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น Structured Notes หรือ เปิดบัญชีซื้อขายตรงกับบริษัทหลักทรัพย์ฯ


โดยปัจจุบันหลักทรัพย์กสิกรมีบริการให้คำแนะนำการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ ในตลาดหุ้นทั่วโลกกว่า 22 ประเทศ หรือ 37 ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก โดยสามารถลงทุนผ่านบริการ KS Global Invest ของหลักทรัพย์กสิกรไทยที่ ง่าย สะดวก ครอบคลุมการลงทุนทั่วโลก สามารถเปิดพอร์ตลงทุนได้ที่ KSec


อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามีนักลงทุนไม่น้อยที่ไม่ถนัดหรือยังไม่มั่นใจในการเลือกลงทุนหุ้นรายตัว ดังนั้นการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ จึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์กว่า บทความนี้มีข้อควรรู้ เพื่อให้การลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ตรงตามเป้าหมายที่อยากลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว พร้อมสรุปกองทุนหุ้นสหรัฐฯของ บลจ.กสิกรไทย อย่างเข้าใจง่าย ดังนี้


ข้อควรรู้ก่อนลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ

ทำความรู้จักดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ

o Dow Jones Index คือ มาตรวัดภาพรวมที่สำคัญของตลาดการเงินโลก

หุ้นในดาวโจนส์นั้นมีเพียง 30 ตัว หุ้น 30 ตัวนี้ถูกจัดว่าเป็นบริษัทรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของตลาดโดยรวมได้


o S&P500 Index คือ ตัวชี้วัดการขึ้นลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

หุ้นระดับแนวหน้า 500 ตัวโดยอ้างอิงจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap) และสภาพคล่อง การจัดอันดับของ S&P500 Index รวมเอาหุ้นจากทั้งสองตลาดอย่าง NYSE และ NASDAQ เข้ามาคำนวณด้วย


สิ่งที่ต่างกันระหว่าง S&P500 และ Dow Jones คือ S&P500 มักจะเป็นที่รวมตัวของบริษัทดาวรุ่งมากกว่า ทำให้สะท้อนภาพรวมการเปลี่ยนของเทรนด์ในตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ดีกว่า


o Nasdaq Index คือ ตัวบ่งชี้การเติบโตทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

Nasdaq มีหุ้นอยู่ในตลาดมากกว่า 5,000 ตัว ครอบคลุมถึงเทคโนโลยีชีวเคมีและสาขาอื่นๆ เช่น ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ การสื่อสารเครือข่าย ฯลฯ ถือเป็นมาตรฐานอ้างอิงที่สำคัญสำหรับการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี


หุ้นแต่ละตัวตลาดหุ้นสหรัฐฯสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะและข้อดีที่แตกต่างกันไป ซึ่งหากเข้าใจจะช่วยให้นักลงทุนมีไอเดียในการเลือกหุ้นเพื่อพิจารณาการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น


1. หุ้น Blue Chip ส่วนใหญ่มักอยู่ในดัชนี S&P500 เป็นหุ้นของบริษัทที่อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน มีความเก่าแก่ มั่นคง หากมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ บริษัทเหล่านี้มักจะรับมือได้ดี โดยหุ้น Blue Chip เหมาะกับ “นักลงทุนหน้าใหม่” เพราะคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นประเภทอื่น ตัวอย่างเช่น หุ้น Berkshire Hathaway (BRK-A), Microsoft Corporation (MSFT), Apple (AAPL)


2. หุ้นเน้นคุณค่า (Valued Stock) การลงทุนในหุ้นคุณค่า คือ การหาหุ้นที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงผ่านการวิเคราะห์การเงินของบริษัท หุ้นเน้นคุณค่าจะใช้เกณฑ์พิจารณา 3 ส่วน คือ สัดส่วนมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น, กำไร และ ยอดขายต่อหุ้น ตัวอย่างเช่น หุ้น JPMorgan Chase & Co (JPM), The Coca-Cola Company (KO),และ The Goldman Sachs Group. Inc เป็นต้น


3. หุ้นปันผล (Dividend Stock) นักลงทุนบางกลุ่มลงทุนเพื่อสร้างรายรับจากเงินปันผล โดยเงินปันผลคือเงินส่วนหนึ่งที่บริษัทเตรียมไว้จ่ายผู้ถือหุ้น บริษัทอาจจ่ายเงินปันผลแบบรายไตรมาส สามารถพิจารณาเลือกหุ้นจากประวัติการจ่ายเงินปันผลย้อนหลัง ตัวอย่างเช่น หุ้น Johnson & Johnson (JNJ) Nucor (NUE) และ Pepsico (PEP)


4. หุ้นเติบโต (Growth Stock) พิจารณาจากการเติบโตของยอดขาย, อัตราการเปลี่ยนแปลงของกำไรสุทธิต่อราคาหุ้น และการวัดแนวโน้มการเติบโตของราคาหุ้น โดยหุ้นของบริษัทที่เข้าเกณฑ์นี้เรามักรู้จักกันดีเพราะโดยมากจะเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี ที่มีอิทธิพลในชีวิตของเรามากขึ้นทั้งในตอนนี้และอนาคต เช่น Netflix (NFLX), Amazon (NFLX) Meta หรือ Facebook (META), NVIDIA (NVDA)


เมื่อรู้จักตลาดหุ้นสหรัฐฯแล้ว สามารถศึกษาข้อมูลกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ของ บลจ.กสิกรไทย เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนได้ตรงตามความต้องการ ดังนี้

K-USA : https://www.kasikornasset.com/Pages/K-USA/k-usa.html

K-USXNDQ : https://www.kasikornasset.com/Pages/INDEX-FUND/INDEX-FUND.html#k-usxndq

K-GTECH : https://www.kasikornasset.com/Pages/k-GTECH/K-GTECH.html

K-US500X : https://www.kasikornasset.com/th/mutual-fund/fund-template/pages/k-us500x-a(a).aspx


K-USA
K-GTECH
K-USXNDQ
K-US500X
ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ 30-40 ตัวที่เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย
โดยสามารถสร้างความได้เปรียบและเป็นผู้นำตลาดได้อย่างยั่งยืน
เทคโนโลยีเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจ
ลงทุนหุ้นเทคฯ เติบโตสูง 50-80 ตัว ทั่วโลกที่อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม กองทุนหลัก 5 ดาว Morningstar
ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ 100 ตัวแรก ตามดัชนี Nasdaq 100
โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่กลับมาเติบโตอย่างโดดเด่น กองทุน 5 ดาว Morningstar
ลงทุนในกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น NYSE Arca
บริษัทที่บริหารจัดการกองทุนหลัก คือ BlackRock Fund Advisors
เหมาะกับใคร
ผู้ที่เชื่อมั่นในหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
เหมาะกับใคร
ผู้ที่เห็นโอกาสเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
เหมาะกับใคร
ผู้ที่จับจังหวะซื้อ-ขายตามดัชนีต้องการค่าธรรมเนียมต่ำ
เหมาะกับใคร
ผู้ที่ต้องการลงทุนใหเผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี S&P500

ปัจจัยหนุนที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังเติบโตได้ในระยะยาว

ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงโดดเด่นด้วยความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ และเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และเทคโนโลยีชั้นสูง บริษัทที่อยู่ในเทรนด์กระแสนิยมของคนรุ่นใหม่รวมถึงบริษัทชั้นนำที่ผู้คนใช้ทั่วโลกเกือบทั้งหมดจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตัวอย่างกลุ่มบริษัทที่น่าสนใจและแนวโน้มเติบโตสูง เช่น


1. กลุ่มเทคโนโลยี: ผู้นำนวัตกรรมระดับโลก

o Apple (AAPL): ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับพรีเมียมที่มีฐานผู้ใช้กว่าพันล้านคนทั่วโลก o NVIDIA (NVDA): ผู้นำด้านชิปประมวลผล AI ที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI

o Tesla (TSLA): ผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยและแบรนด์แข็งแกร่งระดับโลก


2. กลุ่มสาธารณสุข: ธุรกิจที่เติบโตตามการเปลี่ยนแปลงของประชากร

o Johnson & Johnson (JNJ): บริษัทด้านการแพทย์และเวชภัณฑ์ชั้นนำที่จ่ายปันผลต่อเนื่องกว่า 50 ปี

o Medtronic (MDT): ผู้นำด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์การแพทย์ที่ได้ประโยชน์จากสังคมผู้สูงอายุ


3. กลุ่มพลังงานสะอาด: อนาคตของพลังงานโลก

o Enphase Eneygy (ENPH): ธุรกิจพลังงานสะอาดที่เติบโตกว่า 200 เท่าใน 5 ปี

o NextEra Energy (NEE): ผู้นำด้านพลังงานสะอาดรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง


สำหรับนักลงทุนที่สนใจเริ่มต้นลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ สามารถลงทุนได้ง่ายๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น K PLUS เมนู Investment ซึ่งปัจจุบันนอกเหนือจากกองทุนของบลจ.กสิกรไทย ยังสามารถเลือกลงทุนในกองทุนของค่ายอื่นอีก 15 บลจ. ที่คัดสรรมาให้แล้ว ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องที่ง่าย สะดวกในแอฟพลิเคชั่นเดียว


* โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก บลจ. กสิกรไทย (KAsset)



คำเตือน

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

K-USA : ความเสี่ยงกองทุน ระดับ 6 กองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน : T+4

K-USXNDQ : ความเสี่ยงกองทุน ระดับ 6 กองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน : T+3

K-GTECH : ความเสี่ยงกองทุน ระดับ 7 กองทุนจะป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน : T+4

K-US500X : ความเสี่ยงกองทุน ระดับ 6 กองทุนจะป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน : T+3

ผู้เขียน

K WEALTHกานต์พิชชา แดงพิบูลย์สกุล AFPT

Back to top