นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ส่งผลให้หุ้นเติบโตและกองทุน K-CHANGE, K-ATECH, K-GSELECT ปรับตัวลง จากแรงขายที่เกิดจากปัจจัยสงครามการค้าและผลประกอบการหุ้นเทคที่ต่ำกว่าคาด แนะนำการกระจายความเสี่ยงด้วยกองทุนผสมและสินทรัพย์ปลอดภัย

ประเด็นร้อน: นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ส่งแรงขายหุ้นเติบโตต่อเนื่อง

นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ส่งผลให้หุ้นเติบโตและกองทุน K-CHANGE, K-ATECH, K-GSELECT ปรับตัวลง จากแรงขายที่เกิดจากปัจจัยสงครามการค้าและผลประกอบการหุ้นเทคที่ต่ำกว่าคาด แนะนำการกระจายความเสี่ยงด้วยกองทุนผสมและสินทรัพย์ปลอดภัย

กดฟัง
หยุด
  • ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจากปัจจัยสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลก นักลงทุนจำนวนมากเริ่มขาดความเชื่อมั่น และหันไปเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นเติบโต (Growth Stocks) ซึ่งนำไปสู่การปรับฐานของกองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เช่น K-CHANGE, K-ATECH และ K-GSELECT
  • แนะนำพิจารณาการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง เน้นสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น เช่น กองทุนรวมผสม พันธบัตร ทองคำเพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

ผลกระทบต่อตลาดการลงทุน

  • Ballie Gifford Positive Change กองทุนหลักของ K-CHANGE 1Day -3.10%, 1Week -5.49% (4Mar25)
  • CT (Lux) Global Technology กองทุนหลักของ K-GTECH 1Day -2.81%, 1Week -5.82% (3Mar25)
  • JPMorgan Pacific Technology กองทุนหลักของ K-ATECH 1Day-0.41%, 1Week -6.26% (3Mar25)

ปัจจัยหลักที่กดดันหุ้นเติบโตและกองทุนที่เกี่ยวข้อง

  1. ความตึงเครียดทางการค้าและมาตรการกีดกันทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงนโยบายกีดกันทางเศรษฐกิจจากประเทศตะวันตก ส่งผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยีและบริษัทที่ต้องพึ่งพาโครงสร้างซัพพลายเชนระหว่างประเทศ นักลงทุนมองว่าสิ่งนี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของบริษัทเหล่านี้ในอนาคต
  2. อัตราดอกเบี้ยที่ยังสูงและท่าทีของธนาคารกลาง ธนาคารกลางหลายแห่ง โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ส่งสัญญาณที่จะไม่เร่งลดดอกเบี้ย จากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ที่อาจะเป็นผลมาจากนโยบายกำแพงภาษี ซึ่งส่งผลให้หุ้นเติบโตอาจถูกปรับลดประมาณกำไรลง เนื่องจากต้นทุนเงินทุนที่สูงขึ้น
  3. ผลการดำเนินงานของหุ้นที่กองทุนถืออยู่ไม่เป็นไปตามคาด หุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตหลายตัวที่อยู่ในพอร์ตของกองทุน เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, นวัตกรรม และพลังงานสะอาด เผชิญกับผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดการณ์ อันเป็นผลมาจากความต้องการที่ลดลง ต้นทุนที่สูงขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง และกระทบต่อผลตอบแทนของกองทุนโดยรวม
  4. แรงขายจากนักลงทุนสถาบันและกองทุนขนาดใหญ่ นักลงทุนสถาบันและกองทุนขนาดใหญ่มีการปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งนำไปสู่แรงเทขายในหุ้นกลุ่มเติบโต และส่งผลให้กองทุนที่ลงทุนในหุ้นเหล่านี้ได้รับผลกระทบโดยตรง

มุมมองและคำแนะนำการลงทุน

  1. นักลงทุนควรพิจารณากระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสม โดยอาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำลง เช่น กองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนที่มีสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ หรือพันธบัตรรัฐบาล สามารถช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนของตลาดหุ้น
  2. เพิ่มสัดส่วนในกองทุนผสมกองทุนผสม เช่น กองทุนที่ลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ โดยยังคงมีโอกาสรับผลตอบแทนจากตลาดหุ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีการป้องกันความเสี่ยงจากตลาดตราสารหนี้

โดยมีคำแนะนำในกองทุนแนะนำ มีดังนี้

  • ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
    • กองทุนรวมผสม K-WealthPLUS Series* กองทุนมีกลยุทธ์กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ได้แก่
      • กองทุน K-WPBALANCED และ K-WPSPEEDUP (ระดับความเสี่ยง 5 จาก 8 ระดับ)
      • กองทุน K-WPULTIMATE (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ)
    • กองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
  • สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
    • หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
      • กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
      • กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้
  • หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
    • กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
    • กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน

คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

*กองทุน K-WealthPLUS Series, K-GINFRA, K-GHEALTH มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหรือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน

**กองทุน K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS, K-SF-A, K-SFPLUS และ K-GOLD มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด

ผู้เขียน

K WEALTHวรสุดา ใช้เทียมวงศ์ CFP®

Back to top