-
ลงทุนหุ้นไทยกับหุ้นโลกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยการลงทุนในหุ้นโลกให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นไทยอย่างมาก
-
ลงทุนต่างประเทศไม่ยากอย่างที่คิด เริ่มต้นง่ายๆ ผ่านกองทุน Passive ที่ลงทุนโดยอ้างอิงดัชนีหุ้นทั่วโลก ซึ่งระยะยาวให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าการลงทุนเซฟๆ ในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว
-
ลงทุนพร้อมลดหย่อนภาษีอย่างสบายใจเพราะบริษัทที่ลงทุนคุ้นหูคุ้นตา เราใช้สินค้าหรือบริการอยู่แล้วผ่าน K-WORLDXRMF
สถิติชี้ให้เห็นว่าการลงทุนหุ้นไทยในรอบ 10 ปีให้ผลตอบแทนแย่กว่าหุ้นโลก
หุ้นไทยเผชิญปัญหารุมเร้าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้กำไรบริษัทจดทะเบียนในภาพรวมแทบไม่เติบโต และสะท้อนผ่านราคาหุ้นที่ยังย่ำอยู่กับที่ ขณะที่การลงทุนหุ้นโลกมีข้อดีคือลดความเสี่ยงการกระจุกตัวจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศใดประเทศหนึ่ง หากดูผลตอบแทนดัชนีผลตอบแทนรวม ตลาดหุ้นโลกทำได้ราว 9.9% ต่อปี ขณะที่ดัชนีผลตอบแทนรวม SET Index ของไทยเราทำได้ไม่ถึง 1% ต่อปี ค่อนข้างน่าผิดหวัง
ภาพที่ 1 เปรียบเทียบผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลก

ที่มา Bloomberg ณ วันที่ 28 ก.พ. 2025
กลัวเงินเกษียณไม่พอใช้ถ้าลงทุนแค่กองทุนเซฟๆ แต่ไม่อยากคิดเยอะ ลงทุนตามดัชนีหุ้นโลกไปเลย
หากเรามาดูผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีการลงทุนในกองทุนหลักที่ลงทุนหุ้นโลกแบบ Passive ค่าธรรมเนียมต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูงถึงประมาณ 10% ต่อปี ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอย่าง K-SFRMF ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอแต่ได้ผลตอบแทนเพียงราวๆ 1.5% ต่อปี จะเห็นว่าการลงทุนหุ้นโลกแบบ Passive ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับการลงทุนเซฟๆ ผ่านตราสารหนี้ระยะสั้น และหากกลัวเงินเกษียณไม่พอใช้ การลงทุนแบบปลอดภัยผ่านตราสารหนี้อาจไม่เพียงพอ K WEALTH แนะนำควรมีการลงทุนในกองทุนหุ้นเพิ่มเติม
ภาพที่ 2 เปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนตราสารหนี้ K-SFRMF และกองทุนหลัก K-WORLDRMF 10 ปีย้อนหลัง
ที่มา Bloomberg ณ วันที่ 28 ก.พ. 2025
ลงทุนหุ้นพื้นฐานดีเป็นที่รู้จัก เพิ่มความมั่นใจสำหรับเก็บเงินเกษียณ
จะดีกว่าไหมถ้าเราจ่ายเงินให้ธุรกิจเหล่านี้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และได้ผลตอบแทนคืนในระยะยาว
- หุ้น 7 นางฟ้า ได้แก่ Apple Nvidia Microsoft Amazon.com Meta Platforms Google และ Tesla เชื่อว่าหลายคนคงได้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทเหล่านี้ อย่างน้อยก็ Facebook / Instagram ที่อยู่ภายใต้เครือ Meta Platforms
- หุ้นของธุรกิจชื่อดังระดับโลกอื่นๆ อาทิ Netflix, Visa, Master Card, J&J, P&G, Nestle, Coca-Cola
- หรือหุ้นตัวท็อปของแต่ละอุตสาหกรรม เช่น สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan และ HSBC ผู้นำในกลุ่มพลังงานอย่าง Exxon Mobile และ Shell หรือ SAP และ Salesforce ที่เป็นเจ้าตลาดของกลุ่มซอฟต์แวร์
คำแนะนำการลงทุน
K WEALTH แนะนำนักลงทุนที่นอกจากต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีทุกปีผ่านการลงทุนในกอง RMF แต่ยังอยากเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนให้มีเงินเกษียณเพิ่มขึ้น เข้าซื้อกองทุน K-WORLDXRMF ด้วยกลยุทธ์ DCA ทุกๆ ปีเพื่อบรรลุเงื่อนไขของ RMF เนื่องจากการลงทุนในกองทุนหุ้นโลกไม่เหมือนตราสารหนี้ นักลงทุนอาจเห็นความผันผวนระหว่างทาง อาจเห็นผลตอบแทนติดลบได้ถึง -10% -20% หรือมากกว่าในบางปี แต่ระยะยาวมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้หลายเท่าตัว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
• Bloomberg
• Blackrock