ในการวิเคราะห์บริษัทเพื่อตัดสินใจลงทุน นักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบสำคัญในงบการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สินทรัพย์” ซึ่งแบ่งเป็นสองประเภทหลักๆ คือ สินทรัพย์หมุนเวียน และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน การเข้าใจความแตกต่างและบทบาทของสินทรัพย์ทั้งสองประเภทนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินสุขภาพทางการเงินของบริษัท และเลือกกองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งได้ บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจ พร้อมแนะนำวิธีวิเคราะห์เพื่อเลือกลงทุนในกองทุนรวมได้อย่างมั่นใจ
สินทรัพย์หมุนเวียนคืออะไร? ทำไมนักลงทุนต้องให้ความสำคัญ?
สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) คือ สินทรัพย์ที่คาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือถูกใช้ไปภายในระยะเวลา 1 ปีหรือหนึ่งรอบระยะเวลาดำเนินงานของกิจการ สินทรัพย์หมุนเวียนแสดงถึงสภาพคล่องของบริษัท นั่นคือความสามารถในการชำระหนี้สินระยะสั้น
ตัวอย่างสินทรัพย์หมุนเวียนที่พบบ่อยในบริษัท
- เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เช่น เงินในมือ เงินฝากธนาคาร และเงินลงทุนระยะสั้นที่มีสภาพคล่องสูง
-
ลูกหนี้การค้า เงินที่ลูกค้ายังไม่ได้ชำระตามใบแจ้งหนี้
-
สินค้าคงเหลือ สินค้าที่พร้อมขาย วัตถุดิบ และงานระหว่างทำ
-
เงินลงทุนระยะสั้น ตราสารหนี้หรือหุ้นที่บริษัทถือไว้เพื่อการลงทุนระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปี)
-
ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า การจ่ายเงินล่วงหน้าสำหรับสินค้าหรือบริการที่ยังไม่ได้รับ
ความสำคัญของสินทรัพย์หมุนเวียนต่อนักลงทุน
สินทรัพย์หมุนเวียนเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ เนื่องจาก
-
สะท้อนสภาพคล่อง บริษัทที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนสูงกว่าหนี้สินหมุนเวียนมีความเสี่ยงล้มละลายต่ำ
-
แสดงประสิทธิภาพการจัดการ ปริมาณและคุณภาพของสินทรัพย์หมุนเวียนบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน
-
บ่งชี้โอกาสเติบโต บริษัทที่มีเงินสดและสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอสามารถลงทุนในโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างคล่องตัว
สินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
สินทรัพย์หมุนเวียน มีอะไรบ้าง
นอกจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ เงินลงทุนระยะสั้น และค่าใช้จ่ายล่วงหน้า สินทรัพย์หมุนเวียนยังรวมถึง
- ภาษีเงินได้จ่ายล่วงหน้า ภาษีที่จ่ายเกินและรอรับคืน
-
สินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่น เช่น ตราสารอนุพันธ์ระยะสั้น
-
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น เช่น สินทรัพย์ที่บริษัทตั้งใจขายภายในเวลาอันใกล้
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน มีอะไรบ้าง
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (Non-current Assets) คือ สินทรัพย์ที่จะให้ประโยชน์แก่กิจการเป็นระยะเวลานานเกินกว่า 1 ปีหรือหนึ่งรอบระยะเวลาดำเนินงาน ประกอบด้วย
-
ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ สินทรัพย์ถาวรที่มีตัวตนใช้ในการดำเนินงาน
-
สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ค่าความนิยม
-
เงินลงทุนระยะยาว การลงทุนที่บริษัทตั้งใจถือไว้นานกว่า 1 ปี
-
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ที่ดินหรืออาคารที่ถือไว้เพื่อหารายได้จากค่าเช่าหรือการเพิ่มมูลค่า
-
สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี สินทรัพย์ที่บริษัทสามารถขอคืนภาษีเงินได้ในอนาคต
-
สินทรัพย์ทางการเงินไม่หมุนเวียน เช่น เงินลงทุนในบริษัทย่อย บริษัทร่วม
-
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น สินทรัพย์อื่นๆ ที่จะให้ประโยชน์แก่กิจการเกินกว่า 1 ปี
-
สิทธิการเช่า สิทธิในการใช้ทรัพย์สินตามสัญญาเช่าระยะยาว
-
เงินมัดจำระยะยาว เงินที่วางไว้เป็นประกันตามสัญญาระยะยาว
-
ค่าความนิยม ส่วนเกินของราคาซื้อธุรกิจที่สูงกว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์สุทธิที่ระบุได้
ผลกระทบต่อบริษัท
สินทรัพย์หมุนเวียน ส่งผลต่อสภาพคล่องในระยะสั้น ความคล่องตัวทางการเงิน และความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ส่งผลต่อความสามารถในการสร้างรายได้ระยะยาว ศักยภาพในการแข่งขัน และการเติบโตในอนาคต
เปรียบเทียบสินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน สำหรับนักลงทุนกองทุนรวม
ความแตกต่างหลักระหว่างสินทรัพย์หมุนเวียน vs. สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
ตัวอย่างบริษัทตามสัดส่วนสินทรัพย์
บริษัทที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนสูง
-
ธนาคารและสถาบันการเงิน สินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นเงินสด เงินให้กู้ยืมระยะสั้น
-
ธุรกิจค้าปลีก มีสินค้าคงเหลือและลูกหนี้การค้าสูง
-
บริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็ก/สตาร์ทอัพ มักมีเงินสดสูงเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน
บริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนสูง
-
บริษัทพลังงานและสาธารณูปโภค มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสูง
- อุตสาหกรรมการผลิตหนัก มีโรงงาน เครื่องจักร อุปกรณ์มูลค่าสูง
-
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ มีที่ดิน อาคาร และสิ่งปลูกสร้างเป็นสินทรัพย์หลัก
การวิเคราะห์สำหรับนักลงทุนกองทุนรวม
นักลงทุนกองทุนรวมควรพิจารณา
- กองทุนที่เน้นสภาพคล่อง กองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนสูง เช่น ธุรกิจธนาคาร ค้าปลีก ซึ่งมักตอบสนองต่อความผันผวนในระยะสั้นได้ดี
-
กองทุนที่เน้นการเติบโตระยะยาว กองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนสูง เช่น ธุรกิจพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมักมีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ
-
กองทุนผสม ให้ความสมดุลระหว่างการลงทุนในบริษัทที่มีทั้งสินทรัพย์หมุนเวียนและไม่หมุนเวียน
วิธีวิเคราะห์สินทรัพย์หมุนเวียน ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม
การวิเคราะห์สินทรัพย์หมุนเวียนของบริษัทที่กองทุนรวมลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ โดยอาศัยอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ดังนี้
- อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio)
Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน
- ค่าที่ดี มากกว่า 1.5-2 เท่า
-
การแปลความหมาย บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอที่จะชำระหนี้สินระยะสั้นได้ 1.5-2 เท่า
-
ตัวอย่าง บริษัท A มี Current Ratio = 2.5 เท่า หมายความว่า มีสินทรัพย์หมุนเวียน 250 บาทต่อหนี้สินหมุนเวียน 100 บาท แสดงถึงสภาพคล่องที่ดี
- อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio)
Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน - สินค้าคงเหลือ) / หนี้สินหมุนเวียน
- ค่าที่ดี มากกว่า 1 เท่า
-
การแปลความหมาย บริษัทมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงเพียงพอต่อการชำระหนี้สินระยะสั้น โดยไม่พึ่งการขายสินค้าคงเหลือ
- ตัวอย่าง บริษัท B มี Quick Ratio = 0.7 เท่า แสดงว่าอาจมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหากไม่สามารถขายสินค้าคงเหลือได้ตามแผน
- อัตราส่วนเงินสด (Cash Ratio)
Cash Ratio = เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด / หนี้สินหมุนเวียน
- ค่าที่ดี มากกว่า 0.5 เท่า
-
การแปลความหมาย บริษัทมีเงินสดเพียงพอที่จะชำระหนี้สินระยะสั้นได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น
-
ตัวอย่าง บริษัท C มี Cash Ratio = 0.8 เท่า แสดงถึงการมีสภาพคล่องที่ดีมาก สามารถรับมือกับภาวะตลาดที่ผันผวนได้
ตัวอย่างการวิเคราะห์เปรียบเทียบ
นัยสำคัญต่อการลงทุนกองทุนรวม
นักลงทุนควรพิจารณากองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มี
-
Current Ratio สูง ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหรือความไม่แน่นอนสูง
-
Quick Ratio และ Cash Ratio สูง ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจหรือตลาดผันผวนมาก
วิธีเลือกกองทุนรวมให้เหมาะสมกับบริษัทที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนต่างกัน
การเลือกกองทุนรวมควรสอดคล้องกับโครงสร้างสินทรัพย์ของบริษัทที่กองทุนลงทุน
-
กองทุนหุ้นเติบโต (Growth Funds) เหมาะกับบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนสูง ซึ่งมุ่งเน้นการเติบโตในระยะยาว
-
กองทุนเงินปันผล (Dividend Funds) เหมาะกับบริษัทที่มีความสมดุลระหว่างสินทรัพย์หมุนเวียนและไม่หมุนเวียน ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ
-
กองทุนหุ้นมูลค่า (Value Funds) เหมาะกับบริษัทที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนสูง แต่ราคาหุ้นอาจต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
-
กองทุนที่เน้นความมั่นคง (Defensive Funds) เหมาะกับบริษัทที่มีสัดส่วนเงินสดและสินทรัพย์หมุนเวียนที่มีคุณภาพสูง
-
กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Funds) เหมาะกับบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนสูงมาก โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน
กองทุนรวมแนะนำจาก K WEALTH
-
กองทุน K-GINFRA-A(D) เหมาะกับการลงทุนในบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนสูง เช่น โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ซึ่งให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในรูปของเงินปันผล
-
กองทุน K-FIXED-A และ K-FIXEDPLUS-A เหมาะกับการลงทุนในช่วงตลาดผันผวน ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง ที่มีสภาพคล่องดี
-
กองทุน K-WPBALANCED ให้ความสมดุลระหว่างการลงทุนในบริษัทที่มีทั้งสินทรัพย์หมุนเวียนและไม่หมุนเวียน เหมาะกับการลงทุนระยะยาวในสภาวะปกติ
สินทรัพย์หมุนเวียนช่วยให้คุณเลือกกองทุนรวมได้อย่างไร?
การวิเคราะห์สินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนของบริษัทที่กองทุนรวมลงทุนเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยนักลงทุนประเมินสุขภาพทางการเงินและศักยภาพการเติบโตของบริษัท โดยสินทรัพย์หมุนเวียนสูงสะท้อนถึงสภาพคล่องและความยืดหยุ่นในภาวะตลาดผันผวน ขณะที่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนคุณภาพดีบ่งบอกถึงโอกาสเติบโตระยะยาว การใช้อัตราส่วนทางการเงินอย่าง Current Ratio, Quick Ratio และ Cash Ratio จะช่วยให้คุณคัดกรองกองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การเลือกกองทุนให้สอดคล้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยในช่วงเศรษฐกิจถดถอย อาจเน้นกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนสูง เช่น กองทุน K-FIXED-A หรือ K-FIXEDPLUS-A และในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว อาจพิจารณากองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่สร้างการเติบโต เช่น กองทุน K-GINFRA-A(D) ทั้งนี้ การศึกษาพอร์ตการลงทุนของกองทุนและการวิเคราะห์โครงสร้างสินทรัพย์ของบริษัทที่กองทุนลงทุนจะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจและสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของคุณ
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS-A: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPBALANCED: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-GINFRA-A(D): ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-FIXEDPLUS-A, K-GINFRA-A(D): ป้องกันความเสี่ยงบางส่วน
- K-WPBALANCED: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-GINFRA-A(D): T+4
- K-WPBALANCED: T+6
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย