อัปเดตข่าว/สถานการณ์
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สรุปผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ พรรคก้าวไกล คะแนนนำอันดับ 1 ได้ส.ส.แบ่งเขต 113 ที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ 39 ที่นั่ง รวมได้ส.ส. 152 ที่นั่ง ส่วนพรรคเพื่อไทย ได้ส.ส.แบ่งเขต 112 ที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ 29 ที่นั่ง รวม 141 ที่นั่ง และพรรคที่ได้อันดับ 3 คือ พรรคภูมิใจไทย ได้ส.ส.แบ่งเขต 67 ที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ 3 ที่นั่ง รวม 70 ที่นั่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล แถลงภายหลังผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการประกาศเตรียมจัดตั้งรัฐบาลกับอีก 5 พรรค ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย และพรรคเป็นธรรม ซึ่งคาดว่าจะได้เสียงในสภารวม 309 เสียง หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามนี้ จะทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก (ข้อมูล ณ 15 พ.ค. 2566)
Timeline การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ น่าจะเสร็จสิ้นภายในส.ค. 2566
• ภายในวันที่ 13 ก.ค. 2566 กกต.จะต้องประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ (ภายใน 60 วัน นับจากวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566)
• ภายใน ก.ค. 2566 เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร โหวตเลือกและนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
• ภายใน ส.ค. 2566 รอโปรดเกล้าแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เริ่มปฏิบัติหน้าที่
ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว
กลุ่มโรงไฟฟ้ารับแรงกดดันนโยบายการเมืองนำตลาดหุ้นไทยร่วงผิดคาด
เมื่อวานนี้ (15 พ.ค. 2566) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงหักปากกาเซียน โดยเกิดจากกลุ่ม JMART ที่ผลประกอบการไตรมาส 1 ไม่เป็นไปตามคาด ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มปรับตัวลงตามไปด้วย และยังมีหุ้นที่ตลาดเก็งผลการเลือกตั้งอย่าง SC, SIRI และ STEC ซึ่งเมื่อผลการเลือกตั้งไม่เป็นไปอย่างคาด นักลงทุนจึงขายหุ้นออกมาอย่างรุนแรงเช่นกันและยังมีหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้ง GULF, GPSC และ BGRIM ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายลดค่าไฟฟ้า ราคาปรับตัวลงอย่างหนัก ฉุดตลาดหุ้นไทยปิดวันที่ 1,541.38 จุด ลดลง -1.28%ต่อจากนี้หากต้องติดตามการจัดตั้งรัฐบาลว่าเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่ โดยนักลงทุนคาดหวังการใช้นโยบายที่ประกาศไว้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนโยบายส่วนใหญ่เน้นไปยังการลดค่าครองชีพและเพิ่มเงินในกระเป๋า โดยจะมีผลให้เกิดกำลังซื้ออย่างน้อยก็ในระยะสั้นหลังมีการใช้นโยบาย เป็นผลดีหนุนการบริโภคภายในและการท่องเที่ยว
มุมมองการลงทุน
ตลาดหุ้นอาจยังผันผวน หุ้นกลุ่มทุนใหญ่ต้องปรับตัวรับนโยบายใหม่
นอกจากความราบรื่นในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ต้องติดตามการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายที่พรรคก้าวไกลจะดำเนินร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยหากการจัดตั้งรัฐบาลไม่สามารถเป็นไปอย่างราบรื่นอาจส่งผลให้รัฐบาลรักษาการต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และจะไม่สามารถออกนโยบายมาสนับสนุนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ด้านหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและปิโตรเคมียังได้รับแรงกดดันในระยะสั้น โดยหากนโยบายลดค่าไฟฟ้ามีผลบังคับใช้จริง หุ้นกลุ่มนี้จะรับแรงกดดันเพิ่มเติม แต่เป็นผลจากการปรับโครงสร้างธุรกิจให้เหมาะสมกับทิศทางนโยบายที่เปลี่ยนไป ซึ่งหากบริษัทใดปรับเปลี่ยนแล้วสามารถบริหารต้นทุนและรายได้อย่างเหมาะสม แรงกดดันดังกล่าวอาจหายไปได้เช่นกัน
ดังนั้นอาจมีฟ้าหลังฝนสำหรับหุ้นกลุ่มทุนอื่นที่รับแรงกดดันระยะสั้น แต่ระยะกลางถึงยาวก็ยังมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวหากปรับตัวต่อนโยบายอย่างเหมาะสม
คำแนะนำการลงทุน
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ ระยะกลางถึงยาว เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีจากภาคท่องเที่ยวและบริโภคภายใน ผลประกอบการบางอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัว มูลค่าตลาดหุ้นไทยอยู่ระดับที่เหมาะสม เป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะทยอยเข้าสะสม
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้นไทย แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุนรวมผสม ผ่านกองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3 ที่มีสัดส่วนการลงทุนสินทรัพย์ในประเทศเป็นหลักซึ่งมีความผันผวนน้อยกว่าสินทรัพย์ต่างประเทศ
• ผู้ถือกองทุนตราสารหนี้ แนะนำถือลงทุนตามระยะเวลาที่แนะนำเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนและลดความเสี่ยงที่จะขาดทุน เช่น กองทุน K-CBOND-A และ K-PLAN1 แนะนำถือลงทุน 9-12 เดือน และกองทุน K-FIXED และ K-FIXEDPLUS แนะนำถือลงทุน 1 ปีขึ้นไป และกองทุน K-GB เพื่อรับอานิสงส์ดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มชะลอการปรับขึ้น
• สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวน แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการพักเงิน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
• KASSET
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”