ส่องกล้องมองจีน เลือกกองทุนอย่างไรให้รุ่ง

แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวไวกว่าใครหลังเจอ COVID-19 อย่าเพิ่งรีบซื้อกองทุนจีน ถ้ายังไม่รู้จักตลาดจีนดีพอ มาดูก่อนว่าจะลงทุนในจีนต้องรู้อะไรบ้าง


ช่วงนี้ Theme ลงทุนหุ้นต่างประเทศกำลังมาแรง โดยภาพรวมของผลตอบแทน(ย้อนหลัง)ตลาดหุ้นในต่างประเทศ ในปีที่ผ่านมาจะเห็นชัดเจนว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนที่ 16.25% ตลาดเอเชีย(ไม่รวมญี่ปุ่น) มีผลตอบแทนที่ 25.02% ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนโชว์ฟอร์มโดดเด่นด้วยผลตอบแทนสูงถึง 29.49% ซึ่งถือว่าตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้การลงทุนต่างประเทศในแถบเอเชียได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน


สำหรับปีนี้ แม้ตลาดหุ้นจีนอาจเผชิญแรงเทขายในช่วงไตรมาสแรกและระยะสั้นอาจยังไม่ได้ปรับตัวบวกโดดเด่น แต่สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวต้องถือว่าราคาหุ้นจีนปรับลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน เป็นโอกาสเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดพักฐาน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเติบโตได้ดีในอนาคตจากความพร้อมทั้งด้านนวัตกรรมและอุปสงค์ของชนชั้นกลางที่เติบโตสูง ทั้งยังมีปัจจัยบวกมากมายเห็นได้จากเศรษฐกิจจีนไตรมาสแรกโตสูงสุดในประวัติศาสตร์ 18.3% ขณะที่หลายประเทศยังไม่ฟื้นจากโควิด-19 คาดปีนี้จะโตได้ถึง 8.5%* (ที่มา: Bloomberg consensus เม.ย. 64) และจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในอีก 6 ปีข้างหน้า (ที่มา: J.P. Morgan Asset Management, Guide to China 1Q2021)

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายปัจจัยหนุนหุ้นจีน New Economy ทั้งดิจิทัลเทรนด์และการพัฒนาเพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมของโลก การบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง มุ่งใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงขึ้น และนิยมใช้สินค้า เกรดพรีเมียม อีกทั้งนโยบายการเงิน-การคลังของจีนยังสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งยั่งยืนโดยจะเข้มงวดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อ่านมาถึงตรงนี้ จากข้อมูลภาพรวมแนวโน้มการลงทุนในจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น พอหันไปดูกองทุนหุ้นจีนในตลาดมีให้เลือกมากมายหลายกองทุน แล้วจะมีวิธีการเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นจีนอย่างไรบ้าง

ดูก่อนว่าหุ้นจีนมีกี่ตลาด ต่างกันยังไง


โดยทั่วไป ตลาดหุ้นจีน ที่กองทุนไปลงทุน จะมีอยู่ 2 ตลาดใหญ่ๆ คือ
1.A-Share เรียกง่ายๆ คือ ดัชนีหุ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ จดทะเบียนในตลาดหุ้นเซียงไฮ้ และตลาดหุ้นเซินเจิ้น เป็นตลาดที่เปิดให้ต่างชาติเข้าไปลงทุน ซึ่งมีโอกาสในการเจริญเติบโตได้สูง เนื่องจากจีนเป็นประเทศมหาอำนาจลำดับต้นๆ ทำให้การบริโภคและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทำได้ในระดับสูง แต่มีความเสี่ยงจากการควบคุมจากภาครัฐ
2.H-Share เป็นดัชนีหุ้นจีนในฮ่องกง จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮั่งเส็ง จะได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ที่เป็นศูนย์กลางด้านการเงิน ทำให้การค้าขายกับต่างประเทศทำได้คล่องตัว ก็มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป แต่ต้องเลือกให้ได้ก่อนว่าจะเน้นลงทุนในตลาดใดเป็นหลัก

นอกจาก 2 ตลาดหลักนี้แล้ว หากจะลงทุนหุ้นจีนให้ครอบคลุมทั้งหมด ยังต้องมองไปที่โอกาสในการลงทุนผ่านตลาดอื่นๆเช่น “ADR” ซึ่งเป็นอีกทางเลือกเพื่อการซื้อขายหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดสหรัฐฯ อย่าง Alibaba หรือ Pinduoduo ด้วย


ชอบสไตล์ลงทุนแบบไหน (Active VS Passive)


เลือกสไตล์การลงทุน เพื่อเลือกประเภทกองทุนให้เหมาะกับสไตล์ของตนเอง โดยแบบ Active คือ มีความเชื่อว่าการลงทุนแบบคัดสรรหุ้น จะทำให้ได้ผลตอบแทนชนะตลาด ซึ่งมีโอกาสชนะทั้งฝั่งกำไรและขาดทุน แต่เอาเป็นว่าสไตล์การลงทุนแบบเน้นเอาชนะ ในขณะแบบ Passive คือ เชื่อว่าลงทุนตามตลาดสิ ผลตอบแทนอ้างอิงกับตลาดนั่นแหละ คือผลตอบแทนที่ดีที่สุดแล้ว จะเป็นสไตล์การลงทุนให้มีสัดส่วนตามดัชนีของตลาด ทั้งตลาดปรับตัวขึ้นก็ได้กำไร หรือทั้งตลาดจะติดลบก็ทำใจได้ถือว่าลบไปตามตลาด เพราะเชื่อว่าผลตอบแทนตลาดดีที่สุดแล้ว

กองทุนนั้น ลงทุนในต่างประเทศลักษณะอะไร


กองทุนหลัก มีลักษณะ 3 ประเภท คือ
1.กองทุนหลักเป็น Master Fund หรือ Feeder Fund พูดง่ายๆ กองทุนต่างประเทศที่ลงทุน จะนำเงินของเราไปลงทุนต่อในกองทุนหลัก 1 กองทุนซึ่งจดทะเบียนในต่างประเทศ ดังนั้น ผลการดำเนินงานของกองทุนต่างประเทศก็จะขึ้นอยู่กับกองทุน Master Fund นี้เช่นกัน จะติดตามผลการดำเนินงานได้ง่าย แต่พึ่งพิงผลการดำเนินงานของกองทุนหลักอย่างเดียวเลย ซึ่งต้องดูลึกลงไปในกองทุนหลัก ถือหุ้นบริษัท Top 10 Holding มีบริษัทอะไรบ้าง และทำธุรกิจอะไร มีโอกาสจะได้กำไรมากน้อยแค่ไหน
2. กองทุนหลักเป็นแบบ Fund of funds แปลว่า กองทุนต่างประเทศจะนำเงินของเราไปลงทุนในกองทุนมากกว่า 1 กองทุนในต่างประเทศ จะช่วยกระจายความเสี่ยง เนืองจากลงทุนในกองทุนหลักมากกว่า 1 กองทุน แต่จะติดตามผลการดำเนินงานได้ไม่ชัดเจน เพราะไม่ทราบสัดส่วนการลงทุนในแต่ละกองทุนหลัก และ
3.เป็นการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (Direct Investment) คือกองทุนรวมนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์(ตราสารหนี้ / หุ้น) ต่างประเทศโดยตรง ซึ่งโดยทั่วไป กองทุนต่างประเทศ จะอยู่ใน 2 ประเภทแรก

ผลการดำเนินงานย้อนหลัง


จาก 3 ปัจจัยแรก จะช่วยให้กรองกลุ่มกองทุนหุ้นจีนออกมาได้หลายกลุ่ม แล้วเปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลังในกลุ่มใกล้เคียงกัน ถามว่าทำไมไม่ให้เลือกจากผลการดำเนินงานย้อนหลังก่อนเลย ต้องบอกว่า กองทุนจีนแต่ละกองมีลักษณะหรือสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกัน ทำให้เลือกจากผลตอบแทนย้อนหลังอย่างเดียวไม่ได้ และผลตอบแทนในอดีตก็ไม่ได้ตัวยืนยันว่าจะได้ผลตอบแทนเหมือนกันในอนาคตด้วย และอย่าลืม พิจารณาผลตอบแทนต่อ 1 หน่วยความเสี่ยงด้วย สำหรับผู้ที่ไม่เคยลงทุนต่างประเทศเป็นครั้งแรก ควรหาข้อมูล Maximum Drawdown คือ ผลตอบแทนขาดทุนสูงสุด ในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้ประเมินได้ว่า กองทุนต่างประเทศเคยขาดทุน(ในอดีต)สูงสุดเท่าไร และเรายอมรับกับผลขาดทุนนั้นได้จริงๆหรือไม่ จะช่วยให้เห็นภาพความเสี่ยงจากการลงทุนที่ชัดเจนมากขึ้น ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียม มี 2 ส่วน คือ ค่าธรรมเนียมจัดการ (Management Fee) จะถูกรวมในราคาหน่วยลงทุน (NAV) อยู่แล้ว แต่ค่าธรรมเนียมซื้อ (Front-End Fee) จะถูกหักก่อน(ตอนซื้อ) เงินลงทุนที่เหลือจะนำไปจัดสรรเงินลงทุนต่อไป กับ ค่าธรรมเนียมขาย (Back-End Fee) จะถูกหักก่อน(ตอนขาย) เงินลงทุนที่เหลือจะคืนให้ต่อไป