Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

ลงทุนอะไรดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่า

ลงทุนอะไรดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่า

​นับตั้งแต่ FED ตัดสินใจยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) หลังจากปั๊มเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อกระตุ้นการเติบโตมายาวนานกว่า 6 ปี ในวันที่ 29 ตุลาคม 2014 ประกอบกับการที่ FED เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนธันวาคม 2015 จากระดับ 0-0.25% ขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาอยู่ที่ระดับ 2.25-2.50% ในปัจจุบัน ก็ได้ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯปรับสูงขึ้นเรื่อยมาเช่นกัน โดยหากนับจากปลายปี 2014 ถึงปัจจุบัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯปรับแข็งค่าขึ้นมาแล้วกว่า 22% และผลที่ตามมาคือเงินทุนทั่วโลกได้เคลื่อนย้ายกลับจากที่ลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่และเอเชียกลับมาที่สหรัฐฯ มากขึ้น


อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯและจีน จนทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งสหรัฐฯชะลอลง ก็ได้ทำให้ท่าทีของ FED ภายใต้ผู้นำอย่างนายเจอโรม พาวเวลล์ เริ่มเปลี่ยน โดยมีท่าทีที่อ่อนลง และส่งสัญญาณชัดมากขึ้นในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 18-19 มิถุนายน 2019 ด้วยการตัดคำว่า “อดทน” ออกจากแถลงการณ์ และแทนที่ด้วยข้อความที่ว่า “ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ FED พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินหากจำเป็น” และ ณ วันนี้ ตลาดก็ได้คาดการณ์แล้วว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปี 2019 นี้ ซึ่งก็น่าจะทำให้ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าน่าจะเริ่มชะลอลง ทั้งนี้ ทางด้าน Lombard Odier ได้ประเมินว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ณ ระดับปัจจุบัน ถือว่าแพงไปแล้ว และคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะปรับอ่อนค่าลงในระยะถัดไป ซึ่งก็น่าจะทำให้ค่าเงินและดัชนีหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่รวมทั้งเอเชียกลับมาปรับสูงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้ การลงทุนในระยะถัดไป อาจต้องหันกลับมาพิจารณาการลงทุนในดัชนีหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่และเอเชียอีกครั้ง โดยเฉพาะดัชนีหุ้นจีนในกลุ่ม A-share ซึ่งถือว่ามีความน่าสนใจมากทีเดียวในแง่ของ valuation โดยเปรียบเทียบ ทั้งนี้หากพิจารณาดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น A-Shares 300 หุ้น ซึ่งจดทะเบียนอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น และ/หรือ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ณ ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ระดับเพียง 12 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ระดับประมาณ 13 เท่า พร้อมด้วยอัตราคาดการณ์การเติบโตของผลกำไรอยู่ในระดับสูงถึง 12% อย่างไรก็ดี ด้วยความผันผวนในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น การลงทุนในกองทุนหุ้นจีนที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลักและมีเครื่องมือที่ช่วยนักลงทุนควบคุมความผันผวนจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพื่อรับประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่คาดการณ์ว่าจะอ่อนค่ามากขึ้นในระยะต่อไป

​ประจำวันที่ 5 สิงหาคม 2562


กลับ
PRIVATE BANKING