ค้นพบความอร่อยกับ 5 ร้านอาหาร Fine Dining บรรยากาศหรูหราสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม
ให้การออกมาพักผ่อนในเวลาว่างของคุณและครอบครัว ได้กลายเป็นช่วงเวลาดี ๆ กับมื้ออาหารสุดพิเศษจาก 5 ร้านอาหารการันตีด้วยรางวัลระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นรางวัลมิชลินสตาร์ที่ทุกคนรู้จักกันดี หรือจะเป็น รางวัล Asia’s 50 Best Restaurants 2022 ที่รับรองว่าคุณจะดื่มด่ำกับความอร่อย และ ประทับใจไปกับการบริการที่ดีที่สุดในระดับมาตรฐานสากล
Blue by Alain Ducasse
L101, ชั้น 1 โซน ICONLUXE ICONSIAM Shopping Centre เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร
Google Map : Map | Open : จ - ส เวลา 12.00 – 21.00 น. Tel : 02-0059412 | Price : มากกว่า 2,000 บาทต่อท่าน
- Michelin Star 1 ดาว ประจำปี 2021 – 2022
จาก Michelin Guide ฉบับ กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ ภูเก็ต และ พังงา - อันดับที่ 25th ร้านอาหารที่ดีที่สุดแห่งเอเชีย จาก Asia’s 50 Best Restaurants 2022
ร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ Modern Fine Dining มาตรฐานระดับโลก เป็นร้านอาหารแห่งแรกในประเทศไทยของ “อลัง ดูคาส” ได้รับรับรางวัลระดับโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรางวัล Asia’s 50 Best Restaurants 2022 นั้น ได้รับความเห็นว่า “คุณจะได้สัมผัสผลลัพธ์ของทักษะการปรุงอาหารที่เปี่ยมด้วยจินตนาการและความมุ่งมั่น พร้อมด้วยบริการระดับมืออาชีพตามมาตรฐานเหนือระดับของเครือดูคาส”
สำหรับอาหารของ Blue by Alain Ducasse แห่งนี้จะเป็นอาหารสไตล์ Contemporary French Cuisine รังสรรค์ทุกเมนูด้วยความประณีต ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วทุกมุมโลก โดยมีหลากหลายเมนูไฮไลท์ที่พร้อมให้ทุกท่านได้ลิ้มลอง
เริ่มต้นจากกลุ่มเมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง KING CRAB Gold Caviar & Citrus เป็นเมนูที่ให้รสสัมผัสสดชื่นของส้มยูซุ มีท็อปด้านบนด้วย Gold Caviar from Kaviari House แสนอร่อย หรือจะเป็น เมนู Marinated Amberjack เนื้อปลาสำลี (Amberjack) ที่หมักกับผักชีลาว มะกรูด และ ดอกเกลือ เสิร์ฟเคียงมาพร้อมกับมันสำปะหลังดอง แอปเปิ้ล และ แตงกวา โดยมีท็อปด้วย Gin & Tonic Sorbet ให้คุณรับประทานพร้อมกันกับซอส Spring Green, Light Apple Béarnaise ที่เมื่อรวมกันแล้วได้รสชาติที่กลมกล่อมอย่างที่สุด
ต่อด้วยอาหารจานหลักอย่าง Saddle of lamb from Pyrénées with savory, purple artichokes เนื้อสันแกะจากอำเภอปากช่อง ที่นำไปเซียร์เสิร์ฟคู่กับอาร์ติโชคสีม่วงที่ผ่านการทำให้สุกอย่างช้า ๆ ก่อนจะนำไปทำให้กรอบ เสริมรสชาติด้วยการราด Lamp Cooking Jus สำหรับเนื้อแกะนั้นปรุงออกมาได้สุกกำลังดี ไม่มีกลิ่นคาว และ เนื้อสัมผัสนุ่มละมุนอย่างที่สุด
จากนั้นเป็น Blue Lobster from Brittany ซึ่ง Blue Lobster หรือ Petit Bleu นี้ได้รับการยกย่องว่ามีรสชาติที่ละเอียด กลมกล่อม มีเนื้อสัมผัสที่แน่น โดยเชฟได้นำมาเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการลวกในเนย เสิร์ฟพร้อมกับ Mille Feuille ที่สลับชั้นด้วยมันฝรั่ง เบคอน และ แอปเปิ้ล เสริมรสชาติด้วยโหระพากับกระเทียมกงฟี และ เพิ่มความเข้มข้นด้วยซอสไวน์แดงทำให้เมนูนี้เป็นที่ถูกใจคนรักกุ้งเป็นอย่างมาก
ก่อนจบคอร์สยังมีเมนูขนมหวานอย่าง Chocolate from our Manufacture in Paris ที่ส่งตรงจาก Chocolate Alain Ducasse Paris ที่เข้มข้น และ กรุบกรอบ เป็นการปิดท้ายมื้อพิเศษได้อย่างประทับใจ
- a la carte, Lunch set (ราคา 2,550++ บาท ต่อ 5 คอร์ส)
- Signature Menu ( 7 คอร์ส ราคา 4,250++ บาท และ 9 คอร์ส ราคา 5,950++ บาท)
- สามารถเลือกแพริ่งกับไวน์ได้ในราคา 1,150++บาท หรือ รวม Champagne ด้วยในราคา 1,650++บาท
|
ศรณ์
56 ถนนสุขุมวิท ซอย 26 เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
Google Map : Map | Open : อ. - อา. เวลา 12.00 – 14.00 น. และ 18.00 – 23.00 น.
- อันดับที่ 2 ร้านอาหารที่ดีที่สุดแห่งเอเชีย จาก Asia's 50 Best Restaurants 2022
ร้านอาหารไทย อาหารใต้แบบมิติใหม่ ที่จะทำคุณได้ซึมซีบความเป็นอาหารใต้แท้ ๆ ตามแบบต้นตำรับ คัดสรรวัตถุดิบขึ้นชื่อของท้องถิ่น นำเสนอในรูปแบบของ Fine Dining รังสรรค์ความอร่อยจากคุณยอดขวัญ อยู่พุ่มพฤกษ์ เชฟมากฝีมือ ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของการทำอาหาร สร้างอัตลักษณ์ให้อาหารใต้เป็นที่จดจำ จนสามารถคว้ารางวัลระดับโลกมาได้
จุดเริ่มต้นมาจากการค้นพบวัตถุดิบท้องถิ่นของภาคใต้ที่เริ่มสูญหาย และ นำกลับมาครีเอทใหม่เป็นมนูจานหลักอีกครั้ง ผสมผสานเทคนิคการปรุงอาหารสมัยใหม่ และ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นการเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด ผสานเข้ากับกรรมวิธีที่ดีที่สุดนั่นเอง
สำหรับเมนูแนะนำในครั้งนี้จะมาจาก Southern Thai Cuisine Course (2,700 บาท) คอร์สสำรับอาหารใต้ ที่เสิร์ฟให้บริการทั้งหมด 22 เมนู เริ่มต้นจากเมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง Sand Mole Carabs (จั๊กจั่นทะเล) ที่นำจั๊กจั่นทะเลจากหาดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต มาทอดในน้ำมันเมล็ดองุ่น และ นำมาคั่วเข้ากับพริกเกลือ กระเทียมเจียว พริก และ หอม จนได้ความกรอบ เพิ่มความเข้มข้นด้วยผงสาหร่ายขนนก ให้รสชาติที่กลมกล่อมแบบธรรมชาติ
สำหรับเมนูแกงใต้ที่แนะนำในวันนี้ คือ Fresh Yellow Curry (แกงเหลือง หรือ แกงส้ม) เป็นแกงส้มมังคุดกับปลาแก้วกู่ ที่ใช้วิธีการโขลกพริกแกงสด ๆ พร้อมกับใส่มังคุดอ่อนหวานกรอบจากหมู่บ้านคีรีวง นำมาแกงกับปลาแก้วกู่ที่ย่างบนเตาถ่านจนได้ทั้งความมัน และ ความหอมอย่างเป็นเอกลักษณ์ เสริมความเข้ากันด้วยความเปรี้ยวอมหวานของน้ำมะขามอ่อนจนได้รสชาติที่เข้ากันอย่างลงตัว
ปิดท้ายความร้อนแรงด้วยขนมหวานแสนอร่อยอย่าง Sweet Until Midnight (ไอศกรีมน้ำเต้าหู้) เป็นไอศกรีมน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ เสริมความหวานด้วยน้ำเชื่อมจาก ที่ทำจาก ”จาก” ซึ่งปลูกริมทะเลจึงให้รสหวานที่มีความเค็มผสมกันได้อย่างลงตัว
Southern Thai Cuisine Course : คอร์สสำรับอาหารใต้ 22 เมนู ราคา 2,700 บาท (แต่ละเมนูจะถูกปรับเปลี่ยนวัตถุดิบไปตามฤดูกาล)
|
IGNIV Bangkok
The St.Regis Bangkok, 159 ถนนราชดำริ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
Google Map : Map | Open : พ - อา. 12.00 – 15.00 น. และ 18.00 – 23.00 น. Tel : 02-2077822 | Price : มากกว่า 2,000 บาทต่อท่าน
- ร้านอาหารของ Chef Michelin Star 3 ดาว Andreas Caminada
ร้านอาหาร Fine Dining จากเชฟระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาว Andreas Caminada เจ้าของร้านอาหารชื่อดัง ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยชื่อของร้านนี้มีความหมายถึง “รังนก” ซึ่งเป็นคอนเซปต์ของทางร้านที่พร้อมจะต้อนรับทุกคนด้วยบรรยากาศอันอบอุ่น ปลอดภัยเหมือนนกที่อยู่ในรัง
สำหรับเมนู และ ขนมหวานของที่นี่ได้รับการรังสรรค์ และ ดูแลโดย David Hartwig เชฟหนุ่มที่ได้ร่วมงานกับเชฟ Andreas มาอย่างยาวนาน กับ เชฟ Arne Riehn เชฟหนุ่มชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญด้านขนมหวานเป็นผู้ช่วยเชฟ
สิ่งที่โดดเด่นจากร้านอาหาร Fine Dining ทั่วไป คือ รูปแบบการ Sharing หรือ การแบ่งปันกันรับประทาน ซึ่งเป็นการประยุกต์มาจากวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของคนไทยนั่นเอง และ สำหรับอาหารของทางร้านจะเป็นแนว Modern European Cuisine
สำหรับในครั้งนี้ขอแนะนำ IGNIV 4 Course Dinner Sharing Experience โดยเริ่มจาก Snacks หลากหลายเมนู ที่ประกอบด้วย
- Tartlette - Mushroom - Truffle ทาร์ตชิ้นพอดีคำ ท็อปหน้าด้วยเห็ดและทรัฟเฟิล
- Daikon - Mackerel - Green Pea ของว่างที่ทำจากหัวไชเท้า สอดไส้ด้วยทาร์ทาร์แมคเคอเรล และ ถั่วแระ
- Almonds - Liver - Plum อัลมอนด์เคลือบด้วยฟัวกราส์ ก่อนจะคลุกกับผงบ๊วย
- Mango - Cornetto - Chilli โคนขนาดจิ๋ว รสชาติจัดจ้านทำจากมะม่วง สอดไส้ด้วยซอสรสเผ็ดร้อน
ถัดมากับอีก 2 เมนูแนะนำอย่าง Pork – BBQ – Plum ที่นำเนื้อส่วนคอหมูนุ่ม ๆ ไปทำการปรุงด้วยกรรมวิธีบาร์บีคิว นำมาซ้อนด้วยพูเรพรุน และ ท็อปด้วยพลัมรสหวานอมเปรี้ยว และ ทานทั้งหมดคู่กับซอสที่ได้จากการเคี่ยวเนื้อหมู ซึ่งเข้ากันได้อย่างลงตัว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเนื้อ ยังมีเมนู Wagyu Flank - Onion - Salsa Verde สเต๊กเนื้อวากิวพรีเมียม เนื้อนุ่ม สุกกำลังดี เสิร์ฟคู่หัวหอม และ ซัลซ่า
ปิดท้ายด้วยเมนูขนมหวาน Melon - Pickled - Almonds เป็นเมนูที่ประกอบด้วยแตงโม และ แคนตาลูป ซึ่งหั่นมาชิ้นพอดีคำ เป็นการปิดท้ายมื้ออาหารด้วยรสหวานเย็นสดชื่น แต่ได้เพิ่มรสสัมผัสด้วยอัลมอนด์ที่ท็อปมาบนชิ้นผลไม้
- IGNIV 3 Course Lunch Sharing Experience (12 Dishes) 1,900++ บาท
(3 addition IGNIV Surprises 1,000 Baht per person / 6 addition IGNIV Surprises 1,500 Baht per person) - IGNIV 4 Course Dinner Sharing Experience (15 Dishes) 3,800++ บาท
(1 addition IGNIV Surprises 400 Baht per person / 3 addition IGNIV Surprises 1,000 Baht per person)
|
Kintsugi Bangkok by Jeff Ramsey
ชั้น 3, The Athenee Hotel Bangkok ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
Google Map : Map | Open : ทุกวัน เวลา 12.00 – 14.30 น. และ 18.00 – 22.30 น. Tel : 02-6508800 | Price : มากกว่า 2,000 บาทต่อท่าน
- ร้านอาหารของ Chef Michelin Star จากประเทศญี่ปุ่น Jeff Ramsey
ร้านอาหารญีปุ่นสไตล์ไคเซกิที่เต็มไปด้วยความครีเอทีฟจาก Jeff Ramsey เชฟหนุ่มสัญชาติอเมริกัน - ญี่ปุ่น และยังการันตีความอร่อยด้วยรางวัลระดับมิชลินสตาร์ สำหรับเมนูอาหารของร้านนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ความแปลกใหม่ เปลี่ยนความดั้งเดิมให้กลายเป็นสไตล์ที่มีเอกลักษณ์ของทางร้าน โดยจะมีทั้งเมนู A Lar Carte และ เมนูแบบคอร์สอาหารทั้ง ITO (9 คอร์ส) กับ KIN (12 คอร์ส)
สำหรับเมนูที่จะมาแนะนำในวันนี้ เริ่มจาก Alaskan King Crab and Black Truffle Chawanmushi เป็นไข่ตุ๋นเนื้อเนียนนุ่มคล้ายคัสตาร์ดแบบฉบับของญี่ปุ่น นำมาตุ๋นกับเนื้อปูอลาสก้า ราดด้วยซอสที่คล้ายกับซอสเกรวี่ ก่อนที่จะเพิ่มความหอมด้วยน้ำมันทรัฟเฟิล และ เนื้อเห็ดทรัฟเฟิล
ต่อมาด้วยเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน Kin Kat ที่มีหน้าตาคล้ายขนมหวาน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากขนมสุดฮิต โดยตัวเวเฟอร์ทำจากแป้งขนม Wanaka ภายในสอดไส้ครีมฟัวกราส์ผสมกับคอนยัค และ มิริน ก่อนจะนำทั้งหมดมาเคลือบด้วยช็อคโกแลต เมื่อรับประทานแล้วความกรอบของเวเฟอร์นั้นเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับความครีมมี่ของฟัวกราส์
ปิดท้ายด้วยขนมหวานเย็นอย่าง Melon ไอศกรีมเชอร์เบทเมลอน หอมหวาน เพิ่มความสดชื่นด้วยโฟมเมลอน
และ รับประทานคู่กับเนื้อเมลอนญี่ปุ่นสด ๆ ที่ให้ความหวานฉ่ำชื่นใจ
- Ito Course (9 Menus) 2,500++ บาท
- Kin Course (12 Menus) 4,400++ บาท
|
Cadence
225 ซอยปรีดีพนมยงค์ 25 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร
Google Map : Map | Open : อ- ส. เวลา 17.00 – 0.00 น.
- ร้านอาหารของ Chef Michelin Star 1 ดวง Dan Bark
อีกหนึ่งร้านอาหารสไตล์ Fine Dining ของเชฟ Dan Bark ระดับ 1 ดาวมิชลินสตาร์ ที่ได้นำความคิดสร้างสรรค์มาถ่ายทอดในสไตล์ Progressive American Cuisine ที่จะเป็นการเน้นการสร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างการรับประทาน การจัดวางที่ถูกครีเอตมาอย่างสวยงาม และ การออกแบบมาอย่างดี ทำให้ทุกการรับประทานอาหารที่นี่จะได้มากกว่าความอร่อย แต่จะสัมผัสได้ถึงความสนุกสนานซึ่งมากกว่า Fine Dining โดยทั่วไป
คอร์สอาหารของที่นี่จะมีทั้งสิ้น 15 คอร์ส ที่สามารถเลือกแพริ่งกับเครื่องดื่มได้ ไม่ว่าจะเป็น ไวน์ ที่คัดสรรค์จาก Old World อย่างยุโรป และ New World อย่างอเมริกา หรือจะเลือกเป็น ค็อกเทล กับ ม็อกเทล ซึ่งได้รับการครีเอตจาก Chris Simon Bar Director มากประสบการณ์เพื่อเครื่องดื่มที่เข้ากับทุกเมนู
สำหรับเมนูแนะนำเริ่มต้นจาก Caviar คาเวียร์ชั้นดีจากฝรั่งเศส ที่จับคู่กับพูเรหัวขึ้นฉ่ายฝรั่ง (Celeriac Purée) แทนมันฝรั่งแบบเดิม ทำให้ได้รสชาติที่มีความมันและเสริมให้รสชาติของคาเวียร์ให้เด่นยิ่งขึ้น เพิ่มสัมผัสด้วยขนมปังกรอบ และ น้ำมันไซฟว์ (Chive)
ต่อมากับเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอาหารญี่ปุ่นกับ Red Shrimp ซึ่งเชฟได้ใช้กุ้งสีแดงอาร์เจนตินาที่มีรสหวานฉ่ำ และ เนื้อนุ่มเด้ง เสิร์ฟพร้อมกับพูเรแนสเทอซัม (Nasturium Purée) และ แตงโมที่นำไปคอมเพรส (Compressed) กับชาตะไคร้ เพื่อแตงโมคงรสชาติกับสีสันของผลไม้ และ เพิ่มกลิ่นหอมของตะไคร้ เสริมรสเปรี้ยวด้วยบัลซามิกคาเวียร์ และ ความหอมด้วยซอสน้ำนมข้าวคั่ว เมื่อรวมทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันทำให้เมนูจานนี้มีความกลมกล่อมเป็นอย่างยิ่ง
Compressed คือ เทคนิคการนำผลไม้ใส่ในถุงสูญญากาศเพื่อคงรสชาติและสีสันของผลไม้ไว้ บางครั้งก็นิยมใช้ของเหลวที่มีรสชาติต่าง ๆ มาใส่ลงไปด้วยเพื่อให้เนื้อผลไม้เก็บกักรสชาตินั้น ๆ
|
จบท้ายด้วย Dark Chocolate ที่ตกแต่งอย่างประณีต ภายในถ้วยแก้วด้านล่างเป็นเนื้อมูสช็อกโกแลต 70% รสเข้มข้น ผสมกับอัลมอนด์พูเร เพิ่มบีทรูท และ เห็ดทรัฟเฟิล โดยร้านแนะนำให้เคาะแผ่นน้ำตาลใสตรงกลางลงไป และ คนให้เข้ากันก่อนรับประทาน เป็นจานขนมปิดท้ายที่มีรูปแบบการนำเสนอ และ รสชาติที่เข้ากันได้อย่างประทับใจ
15 Course Menus ราคา 4,300++ บาท (With Wine Pairing 2,600 บาท , Cocktail Pairing 2,000 บาท หรือ Mocktail Pairing 1,000 บาท)
|
เรียกได้ว่าเป็น 5 ร้านอาหารที่ให้คุณได้ดื่มด่ำในช่วงเวลาแสนพิเศษกับคนสำคัญของคุณ แถมยังได้เพลิดเพลินไปกับการนำเสนอของแต่ละเมนู พร้อมการบริการระดับไฮคลาส The Explorer ในวันนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าร้านอาหารชั้นนำที่หยิบยกมานี้ จะเป็นอีกหนึ่งในประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับคุณและครอบครัว