​​​​​​​​​​​​​​

คำนวณภาษี

ช่วยคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี

 
รายรับ
เงินเดือน (บาท)
โบนัส (บาท)
รายได้อื่นๆ เช่น การขายของออนไลน์, รับจ้างฟรีแลนซ์ (บาท)
หมายเหตุ
* โปรแกรมคำนวณภาษีนี้ถือเป็นการคำนวณเบื้องต้นเท่านั้น โดยใช้ข้อมูลของปีภาษี 2567 ธนาคารขอไม่รับรองความถูกต้องของข้อมูลและผลลัพธ์ ทั้งนี้รายการลดหย่อนเพิ่มเติมในปีภาษี 2567 กรุณาตรวจสอบเพิ่มเติมจากประกาศของกรมสรรพากร

ตัวช่วยลดย่อนภาษี

การซื้อประกันและกองทุนสามารถลดหย่อนภาษีได้ สูงสุด 3 ล้านบาท

กองทุนช่วยลดหย่อนภาษี

สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

กองทุนช่วยลดหย่อนภาษี  
KWPBALRMF  

KWPBALRMF

กองทุนเดียวได้ทั้ง หุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกทั่วโลก

อ่านเพิ่มเติม
K-ESGSI-ThaiESG  

K-ESGSI-ThaiESG

เน้นลงทุนตราสารที่ออกโดยภาครัฐ มีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ

อ่านเพิ่มเติม
K-USA-SSF  

K-USA-SSF

กองทุนหลัก คัดเน้นๆเฉพาะหุ้นที่มีโอกาสเติบโต บนราคาที่สมเหตุสมผล​

อ่านเพิ่มเติม

ประกันช่วยลดหย่อนภาษี

สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

ประกันช่วยลดหย่อนภาษี  
ประกันชีวิตออมสั้นคืนไว 11/3  

ประกันชีวิตออมสั้นคืนไว 11/3

ประกันจ่าย 3 ปี รับเงินคืนทุกปี ไม่ต้องตรวจสุขภาพ

อ่านเพิ่มเติม
ประกันชีวิต 80/8 Big Bonus  

ประกันชีวิต 80/8 Big Bonus

รับเงินคืน 12% ทุกปี ครบสัญญารับเงินก้อน 800% สมัครง่าย ไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ

อ่านเพิ่มเติม
ประกันบำนาญลดหย่อนได้ จ่ายสั้นปรับได้ 90/5  

ประกันบำนาญลดหย่อนได้ จ่ายสั้นปรับได้ 90/5

จ่ายสั้นปรับได้ เลือกอายุเริ่มรับบำนาญ รายปี รายเดือน ลดหย่อนภาษีบำนาญสูงสุด 200,000 บาท

อ่านเพิ่มเติม

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการคำนวณภาษี

สูตรการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถูกอธิบายไว้ด้วยสูตรพื้นฐานดังนี้:

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา :

ภาษีที่เสีย = อัตราภาษี × เงินได้สุทธิ (เงินได้ทั้งหมด - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน)

  1. อัตราภาษี (Tax Rate)

    อัตราภาษีเป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ใช้คูณกับเงินได้สุทธิ (รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน)
    เพื่อคำนวณจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษี ประเทศไทยใช้อัตราภาษีแบบขั้นบันได
    ซึ่งรายได้ที่ต่างกันจะถูกคิดภาษีในอัตราที่ต่างกัน

  2. เงินได้สุทธิ (Net Income)

    คือจำนวนเงินที่เหลือหลังจากนำรายได้ทั้งหมดมาหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
    ซึ่งค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเหล่านี้เป็นสิทธิประโยชน์ที่รัฐให้เพื่อลดจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษี

    • เงินได้ทั้งหมด: รายได้ที่คุณได้รับตลอดปี เช่น เงินเดือน, โบนัส, รายได้จากธุรกิจ ฯลฯ
    • ค่าใช้จ่าย: ค่าใช้จ่ายที่สามารถหักได้ เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลหรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ
    • ค่าลดหย่อน: ค่าลดหย่อนที่ได้รับสิทธิ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว คู่สมรส บุตร เบี้ยประกัน ฯลฯ

สูตรนี้จะช่วยให้คุณสามารถคำนวณภาษีเงินได้อย่างง่าย ๆ โดยเริ่มจากการนำ รายได้ทั้งหมด มาหัก ค่าใช้จ่าย และ
ค่าลดหย่อน เพื่อให้ได้ เงินได้สุทธิ หลังจากนั้นนำเงินได้สุทธินี้ไปคูณกับ อัตราภาษี เพื่อคำนวณจำนวนเงินภาษีที่ต้องจ่าย

ตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

นางสาวสุรีย์ (สมรส มีบุตร 1 คน)

รายได้ต่อปี: 900,000 บาท โบนัส: 100,000 บาท รวมรายได้: 1,000,000 บาท

ค่าใช้จ่าย: 100,000 บาท (หักเหมา 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)

ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท ค่าลดหย่อนบุตร: 30,000 บาท

ค่าลดหย่อนบิดา-มารดา: 60,000 บาท (30,000 บาท/คน)

ค่าลดหย่อนประกันสังคม: 9,000 บาท

ค่าลดหย่อนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: 30,000 บาท

ค่าลดหย่อนประกันสุขภาพ: 25,000 บาท

ขั้นตอนการคำนวณ:

  1. รายได้ทั้งหมด: 1,000,000 บาท
  2. หักค่าใช้จ่าย: 1,000,000 - 100,000 = 900,000 บาท
  3. หักค่าลดหย่อน: 60,000 + 30,000 + 60,000 + 9,000 + 30,000 + 25,000 = 214,000 บาท
  4. รายได้สุทธิ: 900,000 - 214,000 = 686,000 บาท

อัตราภาษีที่ต้องเสีย:

150,000 บาทแรก: ไม่เสียภาษี

150,001 - 300,000 บาท: เสียภาษีที่ 5% = 7,500

300,001 - 500,000 บาท: เสียภาษีที่ 10% = 20,000

500,001 - 750,000 บาท: เสียภาษีที่ 15% = 27,900


รวมภาษีที่ต้องเสีย: 7,500 + 20,000 + 27,900 = 55,400 บาท

เรื่องควรรู้ก่อนการคำนวณภาษี
  1. ประเภทของรายได้ที่ต้องเสียภาษี

    ก่อนการคำนวณภาษี สิ่งแรกที่ควรทราบคือ ประเภทของรายได้ที่ต้องนำมาคิดภาษี เช่น:

    • รายได้จากเงินเดือน
    • รายได้จากการขายสินค้า
    • โบนัส
    • รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน
    • กำไรจากการลงทุน เช่น หุ้น กองทุ
  2. ค่าใช้จ่ายที่สามารถหักได้

    ในการคำนวณภาษี จะมีค่าใช้จ่ายที่รัฐอนุญาตให้หักจากรายได้เพื่อลดฐานภาษี เช่น:

    • ค่าใช้จ่าย: การหักเหมา 50% ของรายได้ (สำหรับบางกรณี) แต่ไม่เกิน 100,000 บาทสำหรับบุคคลทั่วไป
    • ค่าใช้จ่ายเฉพาะ: ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจหรือวิชาชีพเฉพาะ
  3. ค่าลดหย่อน

    ค่าลดหย่อนเป็นสิ่งที่สามารถนำมาลดจำนวนเงินที่จะต้องนำไปคำนวณภาษีได้ เช่น:

    • ค่าลดหย่อนส่วนตัว (Personal allowance) 60,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนคู่สมรส (Spouse allowance) 60,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนบุตร (Child allowance) 30,000 บาท/คน
    • ค่าลดหย่อนพ่อแม่ (Parents allowance) 60,000 บาท/ท่าน สำหรับพ่อแม่ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปและไม่มีรายได้
      หรือมีแต่ไม่เกินปีละ 30,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนประกันชีวิต (Life insurance premium) สูงสุด 100,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนประกันสุขภาพบิดามารดา (Health insurance for parents) สูงสุด 15,000 บาท
    • การลงทุนในกองทุน RMF/ SSF/ThaiESG
    • ค่าลดหย่อนการออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident fund contributions) สูงสุด 500,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนประกันสังคม (Social security contributions) สูงสุด 9,000 บาท
  4. อัตราภาษีแบบขั้นบันได

    ประเทศไทยใช้อัตราภาษีแบบขั้นบันได หมายความว่ารายได้แต่ละช่วงจะถูกคำนวณตามอัตราภาษีที่กำหนด:

    • รายได้ไม่เกิน 150,000 บาท: ไม่เสียภาษี
    • รายได้ 150,001 - 300,000 บาท: อัตราภาษี 5%
    • รายได้ 300,001 - 500,000 บาท: อัตราภาษี 10%
    • รายได้ 500,001 - 750,000 บาท: อัตราภาษี 15%
    • รายได้ 750,001 - 1,000,000 บาท: อัตราภาษี 20%
    • รายได้ 1,000,001 - 2,000,000 บาท: อัตราภาษี 25%
    • รายได้ 2,000,001 - 5,000,000 บาท: อัตราภาษี 30%
    • รายได้เกิน 5,000,000 บาท: อัตราภาษี 35%
  5. เครดิตภาษี

    เครดิตภาษีหมายถึงเงินที่ถูกหักล่วงหน้า เช่น ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding tax)
    ซึ่งสามารถนำมาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระในภายหลังได้

  6. เอกสารที่จำเป็น

    เพื่อให้การคำนวณภาษีเป็นไปอย่างถูกต้อง ควรเตรียมเอกสารต่อไปนี้:

    • ใบรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (หนังสือรับรองการหักภาษี)
    • ใบเสร็จรับเงิน/เอกสารยืนยันค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
    • เอกสารยืนยันการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต/กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/RMF/SSF/ThaiESG
    • เอกสารเกี่ยวกับรายได้อื่นๆ เช่น รายได้จากการลงทุนหรือการขายสินค้า
  7. การยื่นภาษี

    การยื่นภาษีสามารถทำได้ทั้งในรูปแบบกระดาษ (ผ่านสำนักงานสรรพากร)
    หรือทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (E-Filing) โดยปกติแล้ว
    การยื่นภาษีจะต้องทำภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีภาษีนั้น ๆ

คำนวณภาษีอย่างไรเมื่อมีรายได้นอกเหนือจากงานประจำ

เมื่อคุณมีรายได้นอกเหนือจากงานประจำ เช่น การขายของออนไลน์ รับงานอิสระ หรือเป็นที่ปรึกษา
การคำนวณภาษีจะต้องรวมรายได้ทุกประเภทเข้าด้วยกัน และมี 2
วิธีหลักในการคำนวณภาษีตามคำแนะนำของกรมสรรพากร:

  1. วิธีปกติ

    การคำนวณภาษีโดยใช้ รายได้สุทธิ ซึ่งหมายถึงรายได้ทั้งหมดหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนที่คุณมี
    และนำรายได้สุทธิมาคูณกับอัตราภาษีที่กำหนด


    สูตร: ภาษีที่ต้องชำระ = รายได้สุทธิ x อัตราภาษีแบบขั้นบันได


    ตัวอย่าง:หากคุณมีรายได้จากงานประจำและการขายของออนไลน์ รวมกันทั้งปี 800,000 บาท
    และมีค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนรวม 200,000 บาท (รายได้สุทธิ: 800,000 - 200,000 = 600,000 บาท)

    คำนวณภาษี:

    • รายได้ไม่เกิน 150,000 บาท: ไม่เสียภาษี
    • รายได้ 150,001 - 300,000 บาท: อัตราภาษี 5%
    • รายได้ 300,001 - 500,000 บาท: อัตราภาษี 10%
    • รายได้ 500,001 - 750,000 บาท: อัตราภาษี 15%
  2. วิธีพิเศษ

    ในกรณีที่คุณมีรายได้มากกว่า 120,000 บาท/ปี (ไม่นับรวมเงินเดือน) คุณสามารถใช้วิธีพิเศษนี้ในการคำนวณภาษี
    โดยนำ รายได้สุทธิ มาคูณกับ 0.5% แล้วเปรียบเทียบกับวิธีปกติ หากภาษีที่คำนวณจากวิธีนี้เกิน 5,000 บาท
    จะต้องชำระภาษีตามวิธีที่ให้ภาษีสูงกว่า แต่หากไม่เกิน 5,000 บาท จะใช้การคำนวณภาษีแบบปกติ


    สูตร: ภาษีที่ต้องชำระ = รายได้สุทธิ x 0.5%

แนะนำตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่ตอบโจทย์คุณ

ในแต่ละปี คุณสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากทางเลือกที่เป็นการลงทุนหรือการซื้อประกัน เพื่อไม่เพียงแต่ลดภาระภาษี แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้อีกด้วย เรามาเริ่มกันที่ตัวช่วยหลัก ๆ ในการลดหย่อนภาษีกัน

  1. ลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน

    การลงทุนในกองทุนไม่เพียงแต่ช่วยในการออมเงินหรือการเกษียณอายุเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ โดยเฉพาะกองทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเพื่อส่งเสริมการออมและการลงทุนในระยะยาว:

    • กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund - SSF)

      กองทุน SSF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินในระยะยาว โดยสิทธิลดหย่อนภาษีสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กอช.และประกันชีวิตแบบนำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท การลงทุนใน SSF ช่วยให้คุณสะสมเงินในระยะยาวเพื่อการเกษียณ และยังได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอีกด้วย

    • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund - RMF)

      กองทุน RMF เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินไว้ใช้หลังเกษียณอายุ การลดหย่อนภาษีสามารถทำได้ถึง 30% ของรายได้ที่เสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท รวมกับกองทุน SSF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข.
      กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กอช.และประกันชีวิตแบบนำนาญ RMF
      เน้นการลงทุนในระยะยาวเพื่อการเกษียณ โดยสามารถลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน และสินทรัพย์อื่น ๆ
      ตามนโยบายกองทุน

    • กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG Fund)

      กองทุน ESG เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม สังคม
      และการกำกับดูแลกิจการ (Environmental, Social, Governance - ESG)
      การลงทุนในกองทุนนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดหย่อนภาษี แต่ยังช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจที่ยั่งยืน
      โดยสิทธิลดหย่อนภาษีสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 300,000 บาท

  2. ลดหย่อนภาษีด้วยการซื้อประกัน

    ในอกจากการลงทุนในกองทุน การซื้อประกันชีวิตและสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกที่สำคัญในการลดหย่อนภาษี
    พร้อมกับการสร้างความคุ้มครองและความมั่นคงให้กับคุณและครอบครัว

    • ประกันชีวิตทั่วไป

      ประกันชีวิตทั่วไป สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท โดยเบี้ยประกันที่จ่ายไปจะถูกนำไปคุ้มครองชีวิตคุณ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างมรดกให้ครอบครัวในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
      ประกันชีวิตประเภทนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิต และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในขณะเดียวกัน

    • ประกันบำนาญ

      ประกันบำนาญ หรือประกันชีวิตเพื่อการเกษียณอายุสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของรายได้ที่เสียภาษี
      แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุน SSF RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข.
      กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และกอช.ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
      โดยจุดเด่นของประกันประเภทนี้คือการให้เงินบำนาญรายงวดหลังจากเกษียณอายุ ช่วยเสริมรายได้ให้คุณในวัยเกษียณ
      การใช้ประกันบำนาญเ​พื่อลดหย่อนภาษีเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตหลังเกษียณ

    • ประกันสุขภาพ

      ประกันสุขภาพ สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท
      โดยเบี้ยประกันที่จ่ายไปจะถูกนำไปใช้คุ้มครองค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และค่ารักษาพยาบาลเมื่อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
      ประกันสุขภาพเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองด้านสุขภาพและลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด พร้อมกับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี

การเลือกใช้ตัวช่วยในการลดหย่อนภาษี ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณจ่ายภาษีน้อยลง
แต่ยังเป็นการวางแผนการเงินและการลงทุนในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ