11 ก.ค. 61

ปรับพอร์ตลงทุนอย่างไรในช่วงครึ่งปีหลัง

คะแนนเฉลี่ย

ออมและลงทุน

​​​​​​​​​​​ปรับพอร์ตลงทุนอย่างไรในช่วงครึ่งปีหลัง


          ปี 2561 เป็นปีที่ยากลำบากของนักลงทุนไม่ใช่น้อย เพราะตลาดหุ้นของประเทศต่างๆ หลายแห่ง รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ต่างปรับตัวลงกันถ้วนหน้า คำถามต่างๆ เกิดขึ้นมาในใจของนักลงทุนว่า ปีนี้หุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ ตลาดหุ้นต่างประเทศยังคงน่าสนใจอยู่มั้ย K-Expert มีคำแนะนำเพื่อให้ทุกท่านสามารถปรับพอร์ตรับมือในช่วงครึ่งหลังของปีนี้กันค่ะ

​ 

ปีนี้หุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่

          เปิดมาช่วงต้นปี 2561 นับเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนไทยต่างมีความสุข เพราะตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นทำ New High ยืนเหนือ 1,800 จุดได้ หลายต่อหลายคนแอบหวังว่า ดัชนีจะปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 2,000 จุดได้ แต่ปัจจัยลบต่างๆ ก็ถาโถมมาโจมตีตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ปีนี้คาดว่า จะปรับขึ้นถึง 4 ครั้ง สงครามการค้าระหว่างประเทศต่างๆ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยช่วงปลายเดือนมิถุนายนปรับลงมาหลุดแนวสำคัญที่ 1,600 จุดได้

          นักลงทุนหลายท่านอาจถอดใจที่เห็นดัชนีร่วงลงมาแรงถึง 200 จุด ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน แต่จริงๆ แล้ว ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยหลักๆ ล้วนเป็นปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเมื่อเราย้อนมาดูพื้นฐานเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนของไทย ยังคงใจชื้นได้ว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าลงทุน

          สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจนั้น อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีนี้ยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จะขยายตัวได้สูงถึง 4.5% ซึ่งเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัว 3.8% ก็จะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจของบ้านเราในปีนี้เติบโตได้อย่างโดดเด่น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีทุนสำรองระหว่างประเทศและดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง อีกทั้งมีหนี้ต่างประเทศระยะสั้นในระดับที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยเป็นภูมิคุ้มกัน หากเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
​          
          ​เมื่อมาดูภาพรวมตลาดหุ้นไทย กำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยปีนี้ยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยคาดการณ์ว่า จะขยายตัวได้ 10.4% (อ้างอิงจากBloomberg Consensus) ส่วนเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ บล.กสิกรไทยให้เป้าหมายดัชนีช่วงปลายปีที่ 1,898 จุด สำหรับนักลงทุนระยะยาว จึงน่าสนใจที่จะทยอยสะสมหุ้นไทย โดยสามารถลงทุนผ่านกองทุนหุ้นไทย และกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง LTF และ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยได้

ตลาดหุ้นต่างประเทศยังคงน่าสนใจอยู่มั้ย

​​          ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ไม่ใช่เพียงแค่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลง หุ้นของประเทศตลาดเกิดใหม่ก็ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพี่ใหญ่อย่างจีน หรือเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ดัชนีหุ้นก็ต่างปรับตัวลงมาแรง โดยสาเหตุหลักที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นของประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับตัวลงคือ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่กลับไปยังสหรัฐฯ

          แล้วแบบนี้ หุ้นของประเทศตลาดเกิดใหม่ยังคงน่าลงทุนอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นของจีนซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต (Shanghai Composite) ปรับตัวลงมากว่า 12% (ข้อมูล ณ วันที่ 29 มิถุนายน 2561) เพราะเจอปัจจัยลบ 2 ทาง ทั้งเรื่องเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ และสงครามการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ถ้ามาดูพื้นฐานเศรษฐกิจของจีน จะพบว่า เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ในระดับสูง โดยปีนี้คาดว่า GDP ของจีนจะเติบโต 6.5% จากแผนการปฏิรูปประเทศของจีน นอกจากนี้ ถ้ามาดูที่ราคาหุ้นก็ยังคงซื้อขายในระดับที่ไม่สูง โดยเฉพาะ H-Shares (หุ้นของบริษัทจีนซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง) ซึ่งปัจจุบันซื้อขายกันที่ค่า P/E ประมาณ 7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าตลาดหุ้นของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือยุโรป ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ หุ้น A-Shares (หุ้นของบริษัทจีนซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่) ก็จะได้รับผลบวกจากการนำหุ้นจีนมารวมคำนวณของดัชนี MSCI ซึ่งจะส่งผลให้ในระยะยาวมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่มากขึ้น ดังนั้น การปรับลงมาของตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นโอกาสดีที่จะทยอยสะสมกองทุนหุ้นจีนได้

 ​          อีกหนึ่งภูมิภาคที่น่าสนใจคือ ตลาดหุ้นยุโรป โดยยังคงได้รับปัจจัยห​นุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งแม้จะขยายตัวได้ไม่ร้อนแรงเหมือนเศรษฐกิจจีน แต่ก็ค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า GDP ของยุโรปในปีนี้จะขยายตัว 2.2% นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรปยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางเศรษฐกิจจากการที่จะปรับลดวงเงิน QE อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยธนาคารกลางยุโรปจะยุติการใช้มาตรการ QE ในเดือนธันวาคมปีนี้ แต่ยังคงใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป ซึ่งจะส่งผลบวกกับตลาดหุ้นยุโรป หากเรามาดูราคาหุ้นยุโรป (ดัชนี Euro STOXX) ในปัจจุบันซึ่งซื้อขายกันที่ค่า P/E ประมาณ 14 เท่า ถือว่ายังคงเป็นระดับที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งซื้อขายกันที่ค่า P/E ประมาณ 15-17 เท่า จึงทำให้กองทุนหุ้นยุโรปเป็นอีกหนึ่งภูมิภาคที่น่าสนใจลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2561

​ปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ว่าจะทวีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน โดยหากมีการตั้งกำแพงภาษีระหว่างกันเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลกระทบทางลบกับการค้าทั่วโลก และจะส่งผลกระทบทางลบกับการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกได้​


บทความที่เกี่ยวข้อง : 

 

Workshop ที่เกี่ยวข้อง​ :
- เลือกกองทุนอย่า​งเซียน​ 
-​ เปิดโลกลงทุนสู่กองทุนต่างประเทศ (FIF) 

​​

Tool : K-Expert MyPort 


 

ให้คะแนนบทความ