27 พ.ย. 63

ถอดบทเรียนเศรษฐกิจ ลงทุนปี 64 รุ่งหรือร่วง

คะแนนเฉลี่ย

ออมและลงทุน

​​​​​​​ถอดบทเรียนเศรษฐกิจ ลงทุนปี 64 รุ่งหรือร่วง


          ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมาก จากสถานการณ์โรคระบาดที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน จนนักลงทุนเริ่มขาดความมั่นใจ ตลาดหุ้นที่สำคัญหลายๆ แห่งปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง การระบาดในครั้งนี้ถือเป็นสิ่งใหม่ทำให้คนเกิดความกังวล แต่เมื่อเวลาผ่านไปทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนหลายแห่งเริ่มทำความรู้จักและเข้าใจการแพร่ระบาดมากขึ้นทำให้สามารถออกคำเตือน พร้อมออกมาตรการในการป้องกันเพื่อควบคุมโรคระบาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น สถานประกอบการมีการให้ความร่วมมือจัดแอลกอฮอล์ทำความสะอาดให้แก่ผู้มาใช้บริการ การจัดเจ้าหน้าที่ในการวัดไข้ก่อนเข้าใช้บริการ ขณะที่ประชาชนก็ให้ความร่วมมือตามแนวทางที่ภาครัฐมากขึ้น ทำให้ตัวเลขในการระบาดลดลง บรรยากาศในการลงทุนเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จึงถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการเตรียมความพร้อมในการลงทุนปี 64 ที่กำลังจะมาถึง 


แนวโน้ม เศรษฐกิจ ปี 64 เป็นอย่างไรประเทศไหนน่าลงทุน

         กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่าจากปี 2563 ที่คาดเศรษฐกิจโลกถดถอย - 4.4% จะกลับมาเติบโตที่ 5.2% ในปี 2564 โดยการฟื้นตัวของแต่ละกลุ่มประเทศมีความแตกต่างกัน ทาง IMF มองกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่จะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยตัวเลขที่ทาง IMF ได้คาดไว้คือ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะกลับมาเติบโตเพียง 3.9%  ซึ่งต่ำกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปีหน้า ขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่จะมีการฟื้นตัวสูงถึง 6%  ซึ่งประเทศที่มีการเติบโตเด่นนั้นคือ ประเทศจีน โดยทาง IMF ยังเชื่อว่าทั่วโลกจะมีการกระตุ้นทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องโดยการใช้นโยบายทางการเงินเพื่อคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ และ ดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการจ้างงานโดยใช้นโยบายทางการคลัง เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ ความหวังจากวัคซีน

          สถานการณ์โรคระบาดทั่วโลกยังคงมีความรุนแรงโดยเฉพาะเมื่อหลายๆประเทศเข้าสู่อากาศหนาว จะยิ่งส่งผลให้การแพร่ระบาดของไวรัสสามารถเกิดได้ง่ายขึ้น ดังนั้นทั่วโลกจึงฝากความหวังไว้ที่วัคซีนที่จะทำให้มนุษย์เกิดภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้บรรยากาศการค้าขายโลกกลับมาคึกคักอีกครั้งโดยปัจจุบันต้องนับว่ายังไม่มีการประกาศการอนุมัติให้ใช้วัคซีนอย่างเป็นทางการทั่วโลก ขณะที่จีนมีการอนุมัติให้ใช้วัคซีนได้แล้วโดยเบื้องต้นเป็นการจำกัดการใช้เฉพาะกลุ่ม และมีการติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะที่บริษัทผู้พัฒนาวัคซีนขนาดใหญ่ในประเทศยุโรปและอเมริกาอยู่ในการพัฒนาเฟสที่ 3 ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายก่อนที่จะมีการผลิตและนำส่งไปทั่วโลก ซึ่งคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะผลิตและจัดส่งภายในครึ่งปีหลัง 2564 เป็นต้นไป 

          แม้ความหวังจากวัคซีนจะยังไม่ชัดเจน ประเทศที่น่าจับตามองในตอนนี้คงจะหนีไม่พ้นประเทศจีนที่สามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ และประกาศชัยชนะในการควบคุมโรคระบาดเป็นประเทศแรกของโลก อีกทั้งจีนยังสามารถคิดค้นวัคซีนจนประกาศใช้ภายในประเทศได้แม้ว่าจะยังไม่ได้มีการยอมรับอย่างเป็นทางการจากนานาชาติแต่อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณว่าจีนวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นและเป็นจีนใหม่ที่มีเรื่องของความทันสมัยและเทคโนโลยี

ความน่าสนใจในการลงทุนในประเทศจีน

​          IMF คาดว่าจีนจะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจจะยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องในปี 64 และดีกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยมี 3 ปัจจัยที่สำคัญคือ 

          1. การบริโภคเติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีประชากรเป็นอันดับ 1 ของโลกด้วยตัวเลขประชากรที่สูงถึง 1.4 พันล้านคน กินขนาด 18% ของประชากรทั้งหมดของโลก โดยขนาดเศรษฐกิจของจีนมีสัดส่วนภาคการบริโภคสูงถึง 58%ของ GDP จีน ทำให้เศรษฐกิจยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องหากประชากรของจีนสามารถเข้าถึงแหล่งของการซื้อขายสินค้า กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศจีนจึงมีความน่าลงทุน

         2. กลยุทธ์ระยะยาวลดความขัดแย้งเพิ่มอำนาจต่อรอง ภาครัฐได้วางแผนกลยุทธ์ในการเติบโตระยะยาวโดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 14 ที่จะเปลี่ยนบทบาทจีนจากการเป็นประเทศผู้ผลิตที่มีแรงงานราคาถูก และพึ่งพิงการค้าขายระหว่างประเทศไปสู่ประเทศจีนที่มีการบริโภคและพึ่งพาตนเองได้ โดยใช้เทคโนโลยีในการเสริมสร้างสินค้าและบริการของจีนให้มีคุณภาพ ซึ่งในระยะยาวแล้วจะทำให้จีนกลับมามีอำนาจในการต่อรองกับต่างประเทศลดปัญหาในเรื่องของการกีดกันจีนจากนานาชาติเหมือนในช่วงที่ผ่านมา

         3. ภาครัฐยังเดินเครื่องเศรษฐกิจต่อเนื่องผ่านนโยบายการคลัง จีนวางแผนระยะยาวกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง โดยวางแผนที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากกว่า 10 ล้านล้านหยวนในอีก 5 ปีข้างหน้า ผ่านการวางโครงข่าย 5G รถไฟชนบท และกลุ่มธุรกิจ Data center เพื่อใช้เป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิตสามารถกระจายสินค้าในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ชนบทเกิดการพัฒนาและลดปัญหาช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนในเมืองและชนบท โดยประชากรในชนบทยังมีมากกว่า 500 ล้านคน ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน

กระจายลงทุนในตราสารหนี้ สำหรับคนที่ยังกังวลกับสถานการณ์การลงทุนที่ยังไม่แน่นอน  

         แม้สถานการณ์จากการลงทุนจะดีขึ้น แต่ก็ยังมีโอกาสผันผวนได้ ทั้งในเรื่องของตัววัคซีนที่อาจมาช้ากว่าที่คาดการณ์ หรือตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น ทำให้การลงทุนในหุ้นมักจะมีความเสี่ยงที่สูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความสม่ำเสมอมากกว่า เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนตราสารหนี้โดยตรง จะมาในรูปแบบของรายรับดอกเบี้ย และเงินครบกำหนด โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์ก็มีความหลากหลายมากขึ้น ผู้ลงทุนอาจที่จะเลือกลงทุนในรูปแบบของกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากธนาคาร และมีสภาพคล่องที่สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้โดยตรง เช่น หุ้นกู้ พันธบัตร

คำแนะนำในการลงทุนปี 64

          จีนในปี 64 คาดจะมีภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดูโดดเด่นกว่าประเทศอื่นๆ และมีเสถียรภาพมากขึ้น การลงทุนไปกับแนวโน้มดังกล่าวจะสร้างโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงควรพิจารณาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนหุ้นจีนแต่อาจเผื่อสภาพคล่องไว้ในการลงทุนตราสารหนี้บ้าง และควรเลือกลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูงก็จะทำให้เงินของผู้ลงทุนความมั่นคงยิ่งขึ้น

           -กองทุนจีนที่น่าสนใจในการลงทุนหากรับความเสี่ยงได้ แนะนำกองทุน K-CCTV เพราะ ลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ มีการใช้ปัจจัยทางเทคโนโลยีขับเคลื่อนภาคการบริโภค และสามารถควบคุมผู้ติดเชื้อได้ดี

           -กองทุนตราสารหนี้ที่น่าสนใจแนะนำ การลงทุน K-FIXEDPLUS-A เพราะลงทุนในตราสารหนี้ชั้นดีระดับ A+ มากกว่า 90% ของพอร์ตลงทุน มีการกระจายไปลงทุนในต่างประเทศที่มีแนวโน้มเติบโต และ มีการกระจายการลงทุนมากกว่า 70 ตัว​
          ถึงแม้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นจีนจะมีความน่าสนใจ นักลงทุนก็ควรที่จะวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้ลงทุนเอง หากรับความผันผวนได้น้อยควรแบ่งน้ำหนักการลงทุนโดยกระจายการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มเติม 
สุดท้ายนี้ K-Expert ขอให้นักลงทุนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นจีนเพื่อที่จะไม่พลาดโอกาสการลงทุนในจีนที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง และลงทุนได้อย่างสบายใจเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง :
​K-CCTV
​​
​K-FIXEDPLUS-A  ​





ให้คะแนนบทความ

กฤษณ์ ประพฤทธิ์วงศ์

ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย

ที่ปรึกษาทางการเงิน ธนาคารกสิกรไทย ที่ผ่านการอบรมวุฒินักวางแผนการเงิน (CFP)