16/12/2558

‘เนเชอรัลโฮม’ปรับใหญ่รับธุรกิจสร้างบ้านเปลี่ยน

จากประสบการณ์ธุรกิจ งานก่อสร้าง ของ จิระวัฒน์ มาลีรักษ์ ในฐานะผู้รับงานก่อสร้างโครงการทั้งโรงงาน อพาร์ต
เมนต์มาได้สักระยะหนึ่ง ก่อนผันมารับงานบ้านปลูกบ้านเดี่ยวบนที่ดินเปล่า ภายใต้แบรนด์เนเชอรัล โฮม ที่ผ่านร้อนผ่าน
หนาวทางธุรกิจมานับครั้งไม่ถ้วน

จิระวัฒน์ วัย 45 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ บริษัท เนเชอรัลโฮม ผู้ดำเนินธุรกิจรับ สร้างบ้าน เล่า
ว่า ในปี 2559 บริษัทเตรียมปรับภาพลักษณ์แบรนด์องค์กร "เนเชอรัลโฮม" ครั้งแรกในรอบ 15 ปี เพื่อทั้งสร้างและย้ำแบรนด์
ดังกล่าวให้มีความชัดเจนในการทำตลาด เพื่อเตรียมเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่อายุ 30-50 ปี ที่พบว่ามีความต้องการปลูก
บ้านใหม่ในระดับราคา 3-8 ล้านบาท โดยเฉพาะโอกาสจากการปลูกบ้านใหม่ในที่ดินเก่าขนาด 30-100 ตร.ว. ซึ่งพบว่ายังมี
ที่ดินลักษณะนี้อยู่เป็นจำนวนมากทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล

แนวทางดังกล่าว เพื่อรองรับการแข่งขันในธุรกิจรับสร้างบ้านที่จะแข่งขันรุนแรงขึ้นในปีหน้า จากการเข้ามาของราย
ใหญ่ในตลาดทั้งในและต่างประเทศ อย่างรายใหญ่จะหันไปทำตลาดบ้านเพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายผู้สูงวัยโดยเฉพาะ ซึ่งทำ
ให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์หันไปเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (นิชมาร์เก็ต) แทน เพื่อสร้างจุดแข็งในตลาดให้ชัดเจนขึ้น
จากเมื่อ 7-8 ปีก่อนบริษัทจะรับงานสร้างบ้านใหม่มูลค่าหลัก 3-5 ล้านบาท/ยูนิต

"แม้เราจะมีความชำนาญ ประสบการณ์ในธุรกิจรับสร้างบ้านมากว่า 10 ปี แต่ก็ยังต้องหาความรู้ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง
เสมอ อย่างก่อนหน้าผมเป็นวิศวกรมาไม่มีความรู้ด้านการตลาดอะไรเลยและเมื่อคิดจะทำธุรกิจให้มีความน่าเชื่อถืออยู่ได้ใน
ตลาดนานๆ ก็หันไปศึกษาเพิ่มเติมด้านตลาดและนำมาปรับใช้กับการทำธุรกิจ" จิระวัฒน์ กล่าว

ด้วยในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาในภาคธุรกิจนี้ อาจมีปัญหาแตกต่างไปจากธุรกิจอื่น ซึ่งการจะปลูกบ้านใหม่ ขึ้นอยู่กับ
ปัจจัยภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ ส่วนอุปสรรคด้านอื่นๆ ที่ผู้รับสร้างบ้านเดี่ยวเจอมักจะเป็นปัญหาจากภาครัฐ การขออนุมัติ
การสร้างบ้าน ที่ปัจจุบันบางข้อกฎหมายในบ้านเรายังไม่ได้มีการพัฒนาให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน และรวมไปถึง
มาตรการเชิงนโยบายจากภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมในกลุ่มธุรกิจโครงการจัดสรร อาคารชุดที่อยู่อาศัยมากกว่าการสนับสนุนและ
ส่งเสริมธุรกิจรับสร้างบ้าน

จากจุดนี้ทำให้บริษัทต้องกลับมาช่วยเหลือตัวเองด้วยการใช้มาร์เก็ตติ้งเป็นเครื่องมือหลักในการทำธุรกิจนับจากนี้
โดยเฉพาะการใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ มาใช้ร่วมในการสื่อสารการตลาดร่วมกับผู้บริโภคยุคใหม่ นอกเหนือจาก
การใช้แอพพลิเคชั่นอื่นๆ ในสมาร์ทโฟน ที่ทั้งผู้ปลูกบ้านและผู้รับงานสามารถดูหน้างานจริงได้แบบทันทีทันใด (เรียลไทม์)

ส่วนแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ในภาพรวมปี 2559 คาดจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง จากปัจจัยหลัก การประมูล
โครงการรัฐในปีหน้ามูลค่า 1.78 ล้านล้านบาท ที่เปิดโอกาสให้ผู้รับงานก่อสร้างขนาดเอสเอ็มอีมีโอกาสเข้าร่วมด้วยจากการ
ปรับคุณสมบัติใหม่ โดยประเมินขั้นตอนต่างๆ ที่เริ่มตั้งแต่ร่างสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง (ทีโออาร์) ไปถึงเปิดขายซองและตัดสิน
ประกวดราคาจนได้ผู้ประมูลแล้วจะใช้ระยะเวลาราว 6 เดือนแรกของปีหน้า ที่มาพร้อมกับความต้องการของแรงงานในการ
ก่อสร้างที่จะเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน จากทุกโครงการใหม่รวมกัน

โดยในแต่ละปีบริษัทสามารถรับงานสร้างบ้านใหม่เฉลี่ย 20-30 หลัง และในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ราว 100
ล้านบาท และเติบโต 10% ในปีหน้า

เมื่อตลาดเปลี่ยนแปลง การปรับตัวทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจที่จะต้องรักษากิจการให้อยู่รอดได้