18/10/2554

อิฐมวลเบาขึ้นราคา น้ำท่วมดันต้นทุนพุ่ง

ผู้ผลิตอิฐมวลเบาอ่วม ปัจจัยลบรอบด้านต้นทุนขนส่ง เชื้อเพลิง วัตถุดิบ ปูนขาว ทราย ตบเท้าปรับขึ้นราคาซ้ำ
ปัญหาน้ำท่วมกระทบเส้นทางขนส่ง ขณะดีมานด์ในตลาดยังพุ่งต่อเนื่องจากต้นปี แม้ต้นทุนปรับตัวเพิ่ม ล่าสุด
ผู้ประกอบการทั้งตลาดพร้อมใจปรับราคาขายเพิ่ม 25-30% ตามต้นทุนใหม่ ชี้โครงการอสังหาฯที่ต้องเร่งส่งงาน
ต้องยอมแบกต้นทุนใหม่เพิ่ม ขณะโครงการที่ยังไม่มีกำหนดส่งมอบต้องชะลอก่อสร้างรอน้ำลด หวังราคาอิฐมวล
เบาปรับตัวลงตามต้นทุนรวม

แหล่งข่าวในวงการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบาเปิดเผยว่า ปัญหาต้นทุนการขนส่ง ต้นทุน
เชื้อเพลิงและวัตถุดิบในการผลิตอิฐมวลเบาที่ปรับตัวสูงขึ้น ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าเกิดปัญหาน้ำท่วมนั้นส่งผลกระทบ
ต่อต้นทุนการผลิต และจำหน่ายอิฐมวลเบาในตลาดรวมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะต้นทุนด้านเชื้อเพลิงที่ปรับตัว
สูงขึ้นตามตลาดโลก และค่าขนส่ง ทำให้ก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการอิฐมวลเบารายใหญ่ ซึ่งมีแชร์ตลาดรวมสูง
มากกว่า 50%อย่างบริษัท คิวคอน จำกัด (มหาชน) นำร่องการปรับขึ้นราคาขายตามต้นทุนรวมที่ปรับตัวขึ้นไปแล้ว
กว่า 25-30%

ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาของผู้ประกอบการรายใหญ่นั้นสามารถทำได้ทันที เนื่องจากมีวอร์รูมการจำหน่ายที่
สูงทำให้มีอำนาจการต่อรองและสามารถปรับราคาได้ทันที ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กยังไม่สามารถปรับขึ้น
ราคาขายได้ หรือหากมีการปรับขึ้นก็ไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายให้ครอบคุลมต้นทุนทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นตามจริง
แม้ว่าต้นทุนรวมจะปรับขึ้นไปแล้วก็ตาม

แต่อย่างไรก็ตาม หลังเกิดปัญหาการยกเลิกท่าขึ้นถ่านหินที่จังหวัดสมุทรสาคร เนื่องจากท่าขึ้นถ่านหิน
ดังกล่าวไม่ผ่านการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมทำให้ท่าขึ้นถ่านหินดังกล่าวถูกยกเลิกไป ส่งผลให้ปัจจุบัน
มีท่าขึ้นถ่านหิน บิทูมินัส ซึ่งนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซียมีเพียงแห่งเดียว คือ ท่าขึ้นถ่านหินนครหลวง จ.
พระนครศรีอยุธยา ซึ่งต้องใช้ระยะ ทางในการขนส่งไกลขึ้น ทำให้มีต้นทุนขนส่งสูงขึ้น ล่าสุดปัญหาน้ำท่วม
ในช่วง ก่อน 1-2 เดือนที่ผ่านมา ในพื้นที่ จังหวัดสิงห์บุรี, ชัยนาท, อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา จนในปัจจุบัน
ปัญหาน้ำท่วมได้เข้ามาในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีซึ่งเป็นพื้นที่แหล่งซ่อมบำรุงอะไหล่อุปกรณ์เครื่องจักรในการผลิต
อิฐมวลเบา ทำให้เกิดปัญหาด้านการผลิตของผูประกอบการ และทำให้การขนส่งถ่านหินในท่าขึ้นถ่านหินนคร
หลวง ประสบปัญหาอย่างมากจนไม่สามารถขึ้นถ่านหิน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการเผาและผลิตอิฐมวลเบาได้ ก็
ยิ่งส่งผลกระทบหนักต่อต้นทุนเชื้อเพลิงของผู้ประกอบการอิฐมวลเบา ทำให้ต้องหันไปใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิง
ในการผลิตแทน

"การกลับมาใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตอิฐมวลเบา ทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นอีกกว่า
10% โดยก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการอิฐมวลเบาใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตหลัก แต่เมื่อราคาน้ำมันเตา
ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1 เท่าตัวจาก 11 บาทต่อลิตร เป็น 22 บาทต่อลิตร ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นกว่าเท่าตัว ผู้ประกอบการ
จึงหันไปใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตแทน"

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาน้ำท่วม ต้นทุนเชื้อเพลิง และการขนส่งจะปรับขึ้นแล้ว ปัจจุบันวัตถุดิบ
สำคัญ เช่น ปูนขาว ทรายมีการปรับตัวขึ้นสูงมาก โดยเพาะทรายซึ่งเกิดการขาดแคลนในขณะนี้ส่งผลให้ต้นทุนอิฐ
มวลเบาขยับขึ้นไปอีก ทั้งนี้ เมื่อนับรวมการปรับตัวของต้นทุนการผลิต เช่น ราคาเชื้อเพลิง ค่าขนส่งราคาวัตถุดิบ
ปูนขาวและทราย ร่วมถึงค่าขนส่งและราคาน้ำมันเตาแล้ว พบว่าส่งผลต่อต้นทุนอิฐมวลเบารวมประมาณ 25-30%

ทั้งนี้ การปรับตัวของต้นทุนดังกล่าวประกอบกับปัญหาการขนส่ง ทำให้ปัจจุบันผู้ประกอบการผลิตอิฐมวล
เบามีการปรับขึ้นราคาขายอิฐมวลเบาในตลาดแล้ว 25-30% ซึ่งเป็น การปรับราคาขึ้นตามต้นทุนแท้จริง อย่างไรก็
ตามแม้ว่าราคาขายอิฐมวลเบาในตลาดรวมจะมีการปรับขึ้นไปแล้ว แต่ความต้องการอิฐมวลเบาในตลาดขณะนี้
ไม่ได้มีการหดตัวลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามดีมานด์ในตลาดกลับปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าในช่วงต้นปี ซึ่งมีการ
ขยายตัวของดีมานด์ค่อนข้างสูงอยู่แล้วก่อนหน้า

"การปรับขึ้นราคาขายอิฐมวลเบาในครั้งนี้อาจจะส่งผลให้ผู้แทนจำหน่ายอิฐมวลเบาในตลาดบางรายต้อง
ชะลอการสั่งสินค้าออกไปเนื่องจากรับกับราคาที่ปรับขึ้นไม่ไหว ขณะที่ผู้ประกอบการหลายๆ รายมีการเข้าไปให้
ข้อมูลและอธิบายถึงปัจจัยที่ทำให้ต้องมีการปรับขึ้นราคาขาย จนทำให้เกิดความเข้าใจระหว่างตัวแทนจำหน่าย
และยอมรับในราคาขายที่ปรับขึ้นได้"

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังน้ำลด ราคาอิฐมวลเบาจะปรับตัวลดลงในระดับหนึ่งแต่จะไม่ปรับลดไปอยู่ในระดับ
ราคาขายก่อนหน้านี้ เนื่องจากต้องยอมรับว่าต้นทุนบางตัวที่มีการปรับขึ้นไปแล้วจะไม่ลดลง เช่นต้นทุนเชื้อเพลิง
ที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้าการเกิดปัญหาน้ำท่วม ขณะที่ราคาค่าขนส่งและวัตถุดิบบางตัวอาจจะปรับลดลงหลังน้ำลด

"ผลกระทบจากการปรับราคาอิฐมวลเบาในครั้งนี้ อาจจะส่งผลต่อการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์
หลายๆ โครงการให้ล่าช้าออกไปเนื่องจากในบางโครงการที่ยังไม่เร่งส่งงาน จะชะลองานก่อสร้างเพื่อรอราคาอิฐ
มวลเบาปรับตัวลดลง แต่ในโครงการที่ต้องเร่งส่งงานอาจจะต้องยอมรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ขึ้นกับ
เจ้าของโครงการว่าจะยอมแบกรับต้นทุนไว้เองหรือผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปที่ลูกค้า"