31/10/2552

ตลาดสีเตรียมรับมือวิกฤติเศรษฐกิจ

แข่งขันกันไม่แพ้ธุรกิจไหนๆ เลย สำหรับตลาดสีที่เติบโตตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และในช่วงรอบ 1 ปีที่ผ่าน มาอุตสาหกรรมสีภายในประเทศไทยต่างทยอยปรับกลยุทธ์ในการทำตลาดออกมาเพื่อสู้ศึกการแข่งขันเพื่อแย่งชิง ส่วนแบ่งการตลาดเรียกได้ว่า ใครมีทีเด็ดอย่างไรต้องรีบงัดออกมา ก่อนที่คู่แข่งจะฮุบส่วนแบ่งตลาดนั้นไปครอง เสียก่อน เรียกได้ว่าบางเจ้าที่หาย หน้าไปนานหลายปี ก็เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวเพื่อแสดงความพร้อมในการ ต่อสู้ในสงครามแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด ล่าสุด สีแบรนด์ ไอซีไอ ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ จาก บริษัท ไอซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นอั๊คโซ่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) ซึ่งมีผลในวันที่ 2 ม.ค.52 หลังจากที่ อั๊คโซ่ โนเบลฯ จากประเทศอังกฤษ เข้าซื้อกิจการ ส่วนแบรนด์ยังคงใช้ “ไอซีไอ” ทั้งนี้ การเข้าซื้อกิจการสีไอซีไอของอั๊คโซ่ฯ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้า ในส่วน ของกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง นายจรุง กาญจนภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อั๊คโซ่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด หรือบริษัทสีไอซีไอ เปิดเผยว่า เนื่องจากบริษัทสีไอซีไอถือว่าเป็นบริษัทที่มีฐานตลาดสีทาอาคารใน 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรูปแบบ การดำเนินธุรกิจ ของสีไอซีไอนั้น จะเป็นแบบการดำเนินการระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค (B to C) ในขณะทีอั๊ค โซ่ฯ มีรูปแบบการทำตลาดระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจ (B to B) ดังนั้น การเข้าซื้อกิจการของสีไอซีไอ จึงเป็นการ ขยายฐานกลุ่มลูกค้าเข้าถึงผู้บริโภคโดย ตรง เนื่องจากไอซีไอมีจุดแข็งในด้านดังกล่าวโดยปัจจุบันสีไอซีไอ มีส่วน แบ่งตลาด 15% จากมูลค่าตลาดรวม 1.55 หมื่นล้านบาท สำหรับนโยบายด้านการดำเนินงานของอั๊คโซ่ฯ (ประเทศไทย) นั้น จะยังคงเน้นการดำเนินงานต่อเนื่องจาก นโยบายการตลาดเดิม คือ เน้นการขยายช่องทาง การตลาด และการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายเป็นหลักโดยเน้น ตลาดพรีเมี่ยม ซึ่งยังขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนสีตลาดระดับ ล่างจะมีผู้ประกอบการเลิกกิจการไปจำนวนหนึ่ง เนื่องจากต้นทุนที่ปรับตัวสูง ขึ้น ขณะที่ไม่สามารถปรับราคาขายได้ทำให้กำไรไม่คุ้มทุน ส่วนรูปแบบการทำตลาดในปี 2552 บริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผู้บริโภคโดย ตรง เนื่องจากเป็นลูกค้ากลุ่ม ใหญ่ โดยมีสัดส่วนยอดขาย 80% ของตลาดรวม ในขณะที่ยอดขายในตลาดโครงการหรือผ่าน ผู้ประกอบการ อสังหาริมทรัพย์ 20% ซึ่งบริษัทจะใช้งบการตลาดในปี 2552 ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท จากการประเมินตลาดสีพรีเมี่ยมในปีหน้า แนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเพียง เล็กน้อย ขณะที่ตลาดระดับกลาง-ล่าง จะได้รับผลค่อนข้างมาก และอาจมีผู้ประกอบการรายเล็กปิดกิจการหรือ หายไปจากตลาด และจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจขยายตัวได้ประมาณ 2% นั้น บริษัทจึงคาดว่าภาพรวมตลาดสี ในปี 2552 จะเติบโตได้ประมาณ 2.5% ลดลงจากเดิมที่วางไว้ 5% โดยตลาดรวมจะมีมูลค่า 1.25 หมื่น ล้านบาท ไอซีไอมีส่วนแบ่งตลาด 15% เป็นเบอร์ 2 ของตลาด ขณะที่ผู้นำคือทีโอเอ มีส่วนแบ่งตลาด 40% สำหรับในแง่ปริมาณตลาดรวมสีในปี 2552 คาดว่าจะเติบโตเพียง 0.4% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปรับราคา สินค้าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตของบริษัทในปี 2552 อย่างน้อยต้องโตให้เท่าหรือมากกว่าตลาดรวมที่ 2.5% ด้านความเคลื่อนไหวของสีเจ.บี.พี. ก็ได้หวนคืนวงการสู้ศึกตลาดสี พร้อมเปิดตัว 2 ทายาท รุ่นที่ 3 ต่อยอดธุรกิจ หลังจากที่เงียบหายไประยะหนึ่ง พร้อมเดินหน้าแผนการตลาดที่เน้นขายผ่านตัวแทนจำหน่าย หวังครองส่วนแบ่ง 1.2 พันล้านบาท นายจงกล รัชนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.บี.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสีภายใต้ แบรนด์ “เจ.บี.พี.” เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทเงียบหายไปไม่มีความเคลื่อนไหวมากว่า 20 ปี ที่ไม่มีการ ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ แต่ในส่วนของการจัดกิจกรรมทางการตลาดก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนการทำ ตลาดของบริษัทจะเน้นช่องทางการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 700 ราย ทั่วประเทศเป็นหลัก คิด เป็นสัดส่วน 80% ส่วนอีก 20% จะเป็นขายผ่านโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการของบริษัท พฤกษา เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) รวมไปถึงกลุ่มที่สร้างแท่นขุด เจาะน้ำมันด้วย ทั้งนี้ การที่สีเจ.บี.พี.กลับมาเปิดตัวต่อสาธารณชนอีกครั้งหนึ่งนั้นเพราะตนได้นำทายาทรุ่นที่ 3 ซึ่งก็คือลูกสาว และลูกชาย เข้ามาช่วยงานสานต่องานในบริษัทอีก 2 คน คือนางสาวสรพรรณ รัชนกูล ในตำแหน่งผู้อำนวยการ ฝ่ายบุคคลทรัพยากร และนายศราวุต รัชนกูล ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ซึ่งได้เข้ามาเริ่มงานในบริษัท เมื่อต้นปี 2551 ที่ผ่านมาทั้งนี้เนื่องจากในอนาคตตนต้องการ ที่จะวางมือจากธุรกิจ แต่ก็ยังคงเป็นที่ปรึกษาอยู่ ด้านนายศราวุต รัชนกูล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เจ.บี.พี. อิน เตอร์เนชั่นแนล จำกัด การทำตลาดและ ประชาสัมพันธ์ของบริษัทจะไม่ทำอะไรที่เกินตัว เพราะต้องคำนึงถึงผลกำไรในแต่ละปีด้วย จะให้ความสำคัญกับ ตัวแทนจำหน่าย เพราะมีส่วนช่วยให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์สินค้า ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ส่งผลให้มูลค่าตลาด รวมสีทาอาคารในปีนี้ลดลงมาประมาณ 1.5-1.8 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้บริษัทคาดว่าจะครองส่วนแบ่งตลาด ประมาณ 1.2 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตประมาณ 7-8% ส่วน ถือ เป็นอันดับ 1 ใน 5 ของกลุ่ม ผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร ด้านนายอีริค มัลเลส กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจตัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ต่อจากบริษัทจะเน้นกลุ่ม ลูกค้าสีทาอาคารเพื่อก้าวสู่อันดับที่ 1 ใน 3 ของตลาด โดยตั้งเป้าว่าจะต้องมียอดขายสีทาอาคาร 1.3 พันล้าน บาท ซึ่งในปี 2552 และคาดว่าสีโจตันจะมีส่วนแบ่งตลาด 13-14% ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะยังมีความผันผวนอยู่แต่บริษัทมอง ว่ายังมีช่องว่างให้โจตันได้เข้าไปแทรก ในตลาดสีทาอาคาร ประการแรกบริษัทยังมีส่วนแบ่งตลาดที่น้อยอยู่จึงมีโอกาสที่จะเติบโตโดยส่วนหนึ่งจะเข้าไป กินส่วนแบ่งของผู้นำตลาดสีทาอาคารอันดับ 1 และ 2 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า บริษัทจะออกผลิตภัณฑ์สี ตัวใหม่ออกสู่ตลาด สำหรับแผนการตลาดรวมในอนาคต บริษัทได้เตรียมงบประมาณด้านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์เพื่อสร้าง ภาพลักษณ์และกระตุ้นยอดขายของปีหน้าไว้ที่ 150 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบการตลาดที่มากที่สุดเท่าที่มีมาโดยจะใช้ ปีละ 150 ล้านบาทต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปเพื่อใช้ในการสร้างแบรนด์ผ่าน สื่อต่างๆ สร้างการรับรู้ให้ได้มากที่สุด ส่วนบริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อกลางปีที่ผ่านมาได้ เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็น การขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ให้มีความครอบคลุมต่อความต้องการของทุกกลุ่มตลาด โดยทั้ง “สีนิปปอน ซุปเปอร์ จูเนียร์” และ “สีนิปปอน วีนิเลกซ์ ซุปเปอร์ ไพรเมอร์” เป็นสีทาทับหน้าและสีรองพื้นทับปูนเก่า แผนการตลาด และกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับ 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้นอกเหนือไปจากการสร้างการรับรู้สู่กลุ่มเป้าหมาย และ สร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มผู้แทนจำหน่ายผ่านการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์แล้ว ทางบริษัทยังเพิ่ม ข้อเสนอพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์สีนิปปอน ซุปเปอร์ จูเนียร์ โดยผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์สีดังกล่าวสามารถนำฝา มาแลกเป็นเงินสดได้ที่ร้านค้าตัวแทน จำหน่าย ที่ร่วมรายการตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2552>