25 มิ.ย. 62

เทคนิคสะกดใจ เปลี่ยนอสังหาฯ ที่มี เป็นแฟรนไชส์กำไรดี

คะแนนเฉลี่ย

สินเชื่อ/ธุรกิจ

​​เทคนิคสะกดใจ เปลี่ยนอสังหาฯ ที่มี เป็นแฟรนไชส์กำไรดี


          บทความนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนของผมคนหนึ่ง ซึ่งเพื่อนคนนี้เป็นคนแนะนำให้ผมลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เริ่มต้นด้วยการลงทุนซื้อขายใบจองคอนโดฯ เพื่อเก็งกำไรและพัฒนาจนเป็นการชื้อคอนโดฯ มาเพื่อปล่อยเช่า และล่าสุดเพื่อนของผมก็ได้เริ่มมาซื้ออาคารพาณิชย์เพื่อปล่อยเช่า โดยค่าเช่าที่ได้นั้นสามารถนำไปเป็นค่าผ่อนเงินกู้ซื้ออาคารพาณิชย์ต่อเดือนได้เลยทีเดียว จนกระทั่งปีที่แล้ว ผู้เช่าไม่ต่อสัญญา และหาผู้เช่ามาเช่าต่อไม่ได้ ทำให้มีภาระเพิ่มที่จะต้องหาเงินมาผ่อนเงินกู้ซื้ออาคารพาณิชย์ ผ่านไป 1 ปี ก็ยังหาคนมาเช่าต่อไม่ได้สักที จึงรู้สึกว่าน่าจะทำอะไรกับอาคารพาณิชย์หลังนี้ สุดท้ายเพื่อนผมคนนี้ได้ตัดสินใจลงทุนเพิ่มเพื่อซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟยี่ห้อดังมาเปิดที่อาคารพาณิชย์นี้ ผลที่ได้กลับดีเกินคาด ธุรกิจแฟรนไชส์เป็นไปด้วยดี มีเงินเข้ามาหมุนเวียนในการทำธุรกิจ แถมยังมีกำไรที่สามารถนำมาจ่ายค่ากู้ซื้ออาคารพาณิชย์นี้ได้อย่างสบาย และยังมีเงินเหลืออีก 


          จากกรณีของเพื่อนผมอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีอสังหาริมทรัพย์ปล่อยว่างอยู่ แล้วไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์ ทางเลือกหนึ่งคือนำมาต่อยอดเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ได้ แต่ก่อนอื่นเราควรศึกษาการทำธุรกิจแฟรนไชส์ให้ดีก่อนตัดสินใจ    K-Expert มี 3 เทคนิคดีๆ ที่จะเปลี่ยนอสังหาฯ ที่มีมาเป็นแฟรนไชส์กำไรดี มาฝากกันครับ


1. เช็กทำเล
          โดยปกติแล้วการทำธุรกิจแฟรนไชส์จะเริ่มต้นจากการเลือกทำในสิ่งที่ตนเองชอบก่อน แต่คราวนี้อาจต้องปรับมุมมองใหม่ โดยเริ่มจากอสังหาฯ ที่เรามีก่อนว่า เรามีอสังหาฯ อะไรอยู่ในมือ โดยทั่วไปอสังหาฯ ที่เหมาะกับการทำแฟรนไชส์ ได้แก่ อาคารพาณิชย์ ที่ดินเปล่า และบ้าน (สำหรับบางกลุ่มธุรกิจ เช่น สถาบันสอนพิเศษ) ดังนั้น หากเราตั้งต้นจากของที่เรามี หน้าที่แรกของเราคือ ลองดูว่าอสังหาฯ ที่เรามีนั้นจะต่อยอดไปเป็นแฟรนไชส์อะไรได้บ้าง 
          ตัวอย่างเช่น เรามีอาคารพาณิชย์ติดถนนใหญ่ แฟรนไชส์ที่สามารถทำได้ก็น่าจะเป็น ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านเบเกอรี่ หรือสถาบันสอนพิเศษ จากนั้นเราก็ค่อยมาเลือกว่าเราอยากทำธุรกิจอะไร โดยข้อดีของการทำแฟรนไชส์คือ เราจะมีคนที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจอยู่แล้ว ก็คือเจ้าของแฟรนไชส์ “Franchisor” ที่จะคอยช่วยเหลือ ช่วยดูทำเลที่เรามีให้ว่าเหมาะสมที่จะทำแฟรนไชส์นั้นหรือไม่ ถ้า “Franchisor” ไม่เห็นด้วยก็เตรียมพับโครงการเลย ไม่ต้องเสียเวลา แต่ถ้า “Franchisor” เห็นด้วยก็เตรียมตัวสำหรับขั้นตอนต่อไปได้ สำหรับคนที่เข้าไปซื้อแฟรนไชส์นั้นจะเรียกว่า “Franchisee”


2. ทุ่มเทศึกษา
          หลังจากมีทำเลและแฟรนไชส์ที่อยากจะเปิดแล้ว เราต้องศึกษาข้อมูลกับแฟรนไชส์ที่เราเลือกทำอย่างละเอียด โดยเฉพาะในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น โดยปกติจะมี 3 ค่าใช้จ่ายหลักด้วยกันคือ
          2.1 ค่าแรกเข้า (Franchise Fee) ซึ่งแต่ละแฟรนไชส์เก็บไม่เหมือนกัน บางแฟรนไชส์เก็บครั้งแรกเพียงครั้งเดียว บาง แฟรนไชส์ทำเป็นสัญญา โดยจะเก็บทุกครั้งที่หมดสัญญา แต่จะเก็บจำนวนเงินเท่าไหร่ และจะได้รับอะไรบ้าง ขึ้นอยู่กับ “Franchisor” เป็นผู้กำหนด ซึ่งปกติจะเก็บมากขึ้นตามขนาดของแฟรนไชส์ด้วยครับ
          2.2 ค่าความภักดี (Royalty Fee) ซึ่งโดยปกติจะเรียกเก็บรายเดือน โดยคิดค่าใช้จ่ายประมาณ 3-6% ของยอดขายต่อเดือน ดังนั้น ไม่ต้องกลัวว่า “Franchisor” จะทอดทิ้งนะครับ เพราะยอดขายของ “Franchisee” มีผลกับรายได้ของ “Franchisor” ด้วย ซึ่งทาง “Franchisor” มีระบบการตรวจสอบ ควบคุมคุณภาพของสินค้าและบริการให้ได้มาตรฐาน ไม่ให้เสียชื่อแฟรนไชส์แน่นอนครับ
          2.3 ค่าทำตลาด (Marketing Fee) คือ ค่าการโฆษณาหรือการพัฒนาการตลาดใหม่ตลอดเวลานั่นเอง เช่น การคิดเมนูใหม่ๆ การมีโปรโมชันใหม่ๆ เป็นต้น โดยคิดค่าใช้จ่ายประมาณ 3-6% ของยอดขายต่อเดือนเช่นเดียวกัน

          จากค่าใช้จ่ายต่างๆ อาจทำให้หลายท่านสงสัยว่าแล้วมันจะคุ้มจริงหรือ ต้องบอกเลยว่าทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ อย่างธุรกิจแฟรนไชส์เอง ถึงจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นมากมาย แต่ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือ คุณมีคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแล้วมาช่วยคุณ นอกจากนั้นยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบหลักที่มักถูกกว่าการไปหาซื้อเอง เนื่องจากทาง Franchisor มีปริมาณการซื้อขนาดใหญ่ที่สามารถต่อรองราคาได้ดีกว่า หรือจะเป็นเรื่องแฟรนไชส์ที่ติดตลาด เป็นที่รู้จักแล้ว เปิดร้านมาน่าจะมีลูกค้าเข้าร้าน เป็นต้น ดังนั้น ต้องศึกษาข้อมูลค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ละเอียด และเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ เพราะคุณเป็นคนที่ต้องอยู่กับธุรกิจแฟรนไชส์นี้ไปตลอด


3. หาแหล่งเงินทุน 
          เรื่องสุดท้ายที่คุณต้องเตรียมนั้นคือ เงินทุน ซึ่งแบ่งเป็นเงินทุนระยะยาว และเงินทุนหมุนเวียน โดยเฉพาะเงินทุนหมุนเวียนที่ควรมีอย่างน้อย 2-3 เท่าของยอดขายในการดำเนินธุรกิจต่อเดือน ใครที่มีเงินสดเพียงพอก็ยินดีด้วยครับ ส่วนใครที่ต้องกู้สินเชื่อธุรกิจก็ต้องศึกษาข้อมูลและเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อให้รอบคอบด้วย ซึ่งโดยปกติเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อจะมี 
          1. สภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ 
          2. คุณภาพผู้บริหาร 
          3. รายละเอียดสินเชื่อที่ขอ 
          4. ลักษณะความสัมพันธ์ 
          ซึ่งแต่ละคุณสมบัติขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์การพิจารณาของแต่ละธนาคาร โดยเราสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของธนาคารได้ว่า แฟรนไชส์ไหนที่ธนาคารปล่อยเงินกู้ให้บ้าง ซึ่งถ้าเป็นแฟรนไชส์ที่เข้าร่วมกับธนาคารอยู่แล้วก็จะสะดวกในการขอสินเชื่อมากขึ้นครับ หลายคนอาจมีข้อสงสังว่า ถ้ามีหนี้กู้ซื้ออสังหาฯ อยู่แล้วจะสามารถกู้สินเชื่อเพื่อธุรกิจได้หรือไม่ คำตอบคือมีโอกาสกู้ได้ถ้าเรามีความสามารถในการชำระหนี้เพียงพอ ทั้งนี้ ธนาคารจะพิจารณาด้วยว่าธุรกิจที่เราจะทำนั้นมีศักยภาพหรือไม่ ดังนั้น หากคุณเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่เข้าร่วมกับทางธนาคารอยู่แล้ว โอกาสที่คุณจะกู้สินเชื่อเพื่อธุรกิจผ่านนั้นมีมากเลยทีเดียวครับ

          หวังว่าบทความนี้จะจุดประกายไอเดียให้ท่านผู้อ่านที่มีอสังหาฯ อยู่ในมือซึ่งกำลังคิดว่าอยากทำอะไรดี และพร้อมที่จะทุ่มเทเวลาเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ถ้าอยากเริ่มต้นที่สะดวกหน่อย มีคนเก่งคอยช่วยแนะนำ ก็ขอฝากธุรกิจแฟรนไชส์ไว้เป็นทางเลือกนะครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใดๆ ก็ตาม หากลงมือทำแล้วก็ต้องใช้ความอดทน และเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำธุรกิจ รวมถึงการรับความเสี่ยงจากการทำธุรกิจด้วยนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีและประสบความสำเร็จกับธุรกิจที่เลือกครับ

          สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิพิเศษของธุรกิจแฟรนไชส์ที่ธนาคารกสิกรไทยมอบให้ได้ที่ >>> คลิกที่นี่


บทความที่เกี่ยวข้อง :


ให้คะแนนบทความ

พิชาญเดช เข็มเพ็ชร AFPT

ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย